วรรณรัตน์ เผย 8 เดือนต่างชาติขยายการลงทุนเพิ่มกว่า 76% มูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาท จีนมาแรงมูลค่าลงทุนโต 2 เท่า ขณะที่ญี่ปุ่นรั้งอันดับ 1
วรรณรัตน์ เผย 8 เดือนต่างชาติขยายการลงทุนเพิ่มกว่า 76% มูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาท จีนมาแรงมูลค่าลงทุนโต 2 เท่า ขณะที่ญี่ปุ่นรั้งอันดับ 1
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสหากรรมเผย การลงทุนทางตรงจากต่างประเทศขยายตัวต่อเนื่องสถิติขอรับส่งเสริมการลงทุนช่วง 8 เดือน มูลค่ารวมสูงกว่า 215,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกัน ของปีก่อนร้อยละ 76.4 จีนมาแรงสุดเงินลงทุนเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า ส่วนอันดับหนึ่งยังคงเป็นการลงทุนจากญี่ปุ่น รวมเงินลงทุนกว่า 1 แสนล้านบาทด้าน เลขาธิการบีโอไอ ชี้กิจการขนาดกลางและเล็กของต่างชาติเลือกขยายการลงทุนในไทย
นายแพทย์ วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ได้รายงานสถิติคำขอรับส่งเสริมการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (เอฟดีไอ) ช่วง 8 เดือน (มกราคม-สิงหาคม 2554) ที่ผ่านมา โดยนักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนทั้งสิ้น 679 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 215,429 ล้านบาท ซึ่งเป็นการปรับเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนโครงการและมูลค่าเงินลงทุนเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน โดยโครงการปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 28.8 จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มี 527 โครงการ ด้านเงินลงทุนปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 76.4 จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีมูลค่าการลงทุนอยู่ที่ 122,151 ล้านบาท
ทั้งนี้การลงทุนจากหลายประเทศ มีทิศทางปรับเพิ่มขึ้นมาก ได้แก่ การลงทุนจากญี่ปุ่น ซึ่งยังเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุด ที่เข้ามาลงทุนในไทย ทั้งจำนวนโครงการ และมูลค่าเงินลงทุน โดย ในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา มีโครงการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนแล้ว 361 โครงการ เงินลงทุนรวม 104,786 ล้านบาท โครงการเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มี 225 โครงการ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 60.4 ในขณะที่มีมูลค่าเงินลงทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 110.7 จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มี 49,723 ล้านบาท
รองลงมาเป็นการลงทุนจากประเทศจีน มีทั้งสิ้น 22 โครงการเงินลงทุน 24,837 ล้านบาท โครงการเพิ่มขึ้น ร้อยละ 22.2 จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มี 18 โครงการ ด้านเงินลงทุนปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 205.1 จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มี 8,140 ล้านบาท สิงคโปร์ มี 38 โครงการ เงินลงทน 17,514 ล้านบาท จำนวนโครงการใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มี 41 โครงการ ขณะที่มูลค่าเงินลงทุนปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 101.9 จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มี 8,675 ล้านบาท
ขณะที่การลงทุนจากฮ่องกง มี 20 โครงการ เงินลงทุน 11,344 ล้านบาท โครงการเพิ่มขึ้น ร้อยละ 17.6 จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มี 17 โครงการ เงินลงทุนปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 206.6 จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มี 3,699 ล้านบาท และไต้หวัน มี 30 โครงการ เงินลงทุน 5,694 ล้านบาท โครงการเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มี 22 โครงการ เงินลงทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 120.1 จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มี 2,587 ล้านบาท เป็นต้น
“หลายประเทศในเอเชีย เข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งเป็นทิศทางที่ดีและตอกย้ำถึงศักยภาพที่ไทยจะเป็นศูนย์กลางการผลิต และส่งออกสินค้าในกลุ่มอุตสาหกรรม ไปยังตลาดต่างๆ ในกลุ่มประเทศอาเซียน โดยเฉพาะภายหลังจากการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในปี 2558 และมั่นใจว่าทิศทางการลงทุนจากต่างประเทศ ยังจะขยายตัวได้อีกมาก โดยเฉพาะการลงทุนจากจีน
ซึ่งระหว่างวันที่ 22-25 กันยายน 2554 นี้ กระทรวงอุตสาหกรรมจะนำผู้ประกอบการไทยไปร่วมงาน “ไชน่า อินเตอร์เนชั่นแนล เอสเอ็มอี แฟร์ 2011” ที่นครกวางโจว ประเทศจีน ซึ่งจะได้ใช้โอกาสนี้หารือร่วมกับภาครัฐ และเอกชนของจีน เพื่อชักจูงนักลงทุนเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้นด้วย”รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมกล่าว
นางอรรชกา สีบุญเรือง เลขาธิการบีโอไอ กล่าวว่า โครงการลงทุนที่นักลงทุนให้ความสนใจยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนสูงสุด เป็นกิจการที่มีขนาดลงทุนไม่เกิน 100 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนร้อยละ 57.7 ของโครงการต่างชาติที่ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนทั้งหมด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในส่วนโครงการขยายจากกิจการเดิม โดยมีทั้งสิ้น 346 โครงการ เงินลงทุนรวม 126,639 ล้านบาท
สำหรับกิจการที่ได้รับความสนใจมากที่สุด อยู่ในกลุ่ม ผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักร และอุปกรณ์ขนส่ง มี 233 โครงการ เงินลงทุนรวม 81,724.9 ล้านบาท รองมาเป็นกิจการกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า 135 โครงการ เงินลงทุน 46,059 ล้านบาท กิจการบริการและสาธารณูปโภค 120 โครงการ เงินลงทุน 32,246.6 ล้านบาท กิจการเคมีภัณฑ์ กระดาษ และพลาสติก จำนน 71 โครงการ เงินลงทุน 25,372.1 ล้านบาท และกิจการเกษตรและผลิตผลการเกษตร 51 โครงการ เงินลงทุน 10,723 ล้านบาท ตามลำดับ