เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ ยิ้มรับอนาคตสดใส หลังเป็นเจ้าของเหมืองถ่านหินในอินโดนีเซียเต็มตัว พร้อมเดินหน้าเปิดตลาดจีน อินเดีย
เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ ยิ้มรับอนาคตสดใส หลังเป็นเจ้าของเหมืองถ่านหินในอินโดนีเซียเต็มตัว พร้อมเดินหน้าเปิดตลาดจีน อินเดีย
บมจ.เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ หรือ EARTH อนาคตธุรกิจรุ่ง หลังปักธงเป็นเจ้าของเหมืองถ่านหินในอินโดนีเซียเต็มตัว เชื่อผลักดันรายได้และกำไรขยายตัว แถมคู่ค้ามั่นใจสั่งออเดอร์ไม่มีผิดนัด ผู้บริหารระบุถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ เรียกความเชื่อมั่นจากคู่ค้าและนักลงทุนได้อย่างเต็มภาคภูมิ วางเป้าหมายปีหน้ารายได้อาจเขย่งแตะถึง 10,000 ล้านบาท โดยคิดเป็นปริมาณขายถ่านหินประมาณ 3.2 ล้านตัน เหตุธุรกิจจัดจำหน่ายถ่านหินปีนี้ยังสดใสแถมราคาไต่ระดับขึ้นต่อเนื่อง
นายขจรพงศ์ คำดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ จำกัด (มหาชน) (EARTH) เปิดเผยถึงอนาคตของบริษัทว่าจากการที่ได้เข้าไปเป็นเจ้าของเหมืองถ่านหินในประเทศอินโดนีเซีย ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้บริษัทมีความมั่นคงและแข็งแกร่งในธุรกิจถ่านหินมากยิ่งขึ้น
จากการมีแหล่งถ่านหินเป็นของบริษัทเองจะช่วยลดความเสี่ยงด้านการจัดหาวัตถุดิบ ทำให้ได้รับความเชื่อมั่นจากคู่ค้า รวมไปถึงการจัดส่งสินค้าตามปริมาณที่สั่งซื้อและระยะเวลาในการส่งมอบ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มอำนาจต่อรองในการจัดจำหน่ายถ่านหินในอนาคตและเพิ่มรายได้ในระดับที่ดีต่อเนื่องจากต้นทุนที่ลดลง ซึ่งจะผลักดันให้อัตราผลกำไรของบริษัทดีขึ้นตามไปด้วยและเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาว
“การที่ EARTH มีเหมืองถ่านหินเป็นของตัวเอง ถือเป็นจุดแข็งและแตกต่างของธุรกิจอย่างชัดเจน จากเดิมที่เป็นเพียงผู้จัดจำหน่ายถ่านหิน แต่วันนี้เป็นเจ้าของเองแล้ว ซึ่งในอนาคตนอกจากจะได้รับความเชื่อมั่นจากคู่ค้าแล้ว ยังมีปริมาณสำรองในมือเพิ่มขึ้น และสิ่งสำคัญคือทำให้ต้นทุนลดลงแล้วทำให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มสูงขึ้น”
สำหรับแนวโน้มธุรกิจจัดจำหน่ายถ่านหินในปีนี้ เชื่อว่ายังคงสดใส โดยราคาถ่านหินช่วงที่ผ่านมาได้ไต่ระดับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันค่าเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 85 เหรียญต่อตัน จากปีที่ผ่านมาค่าเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 80 เหรียญต่อตัน สำหรับสาเหตุที่ทำให้ถ่านหินเป็นที่ต้องการของอุตสาหกรรมและราคาทยอยปรับตัวขึ้นเป็นเพราะ
1.ความต้องการถ่านหินจากประเทศจีนเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากประเทศจีนปิดเหมืองถ่านหินภายในประเทศที่ไม่ได้มาตรฐาน ขณะที่ปริมาณการใช้เท่าเดิม จึงต้องนำเข้าเพิ่มมากขึ้น
2.วิกฤติโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในประเทศญี่ปุ่น มีผลให้ประเทศที่มีโครงการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ต้องชลอหรือระงับโครงการใว้ก่อนและหันมาก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินแทน
3.ออสเตรเลียปรับโครงสร้างภาษี มีผลให้ราคาถ่านหินจากประเทศออสเตรเลียมีราคาสูงขึ้น Order ถ่านหินจึงไหลมาที่ประเทศอินโดนีเซียมากขึ้น
4.ผู้ประกอบการภายในประเทศหันมาใช้ถ่านหินเป็นพลังงานทดแทนน้ำมันเตา เนื่องจากถ่านหินมีราคาต่ำกว่าน้ำมันเตามาก ซึ่งจากปัจจัยเหล่านี้จึงถือเป็นปัจจัยบวกต่อผู้ประกอบการ
นายขจรพงศ์ กล่าวต่อว่า บริษัทยังคงเป้ายอดขายถ่านหินในปี 2554 ที่ระดับ 1.2 ล้านตัน เป็นการเติบโตประมาณ 50% จากปีก่อน โดยในครึ่งแรกของปี 2554 EARTH จำหน่ายถ่านหินไปแล้ว 0.8 ล้านตัน และในปี 2555 วางเป้าหมายจะเพิ่มยอดขายถ่านหินเพิ่มขึ้นเป็น 3.2 ล้านตัน พร้อมคาดว่ารายได้น่าจะแตะที่ระดับ 10,000 ล้านบาทได้
ขณะเดียวกัน EARTH ได้รุกขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น โดยในประเทศได้บุกไปในโซนภาคกลางและภาคตะวันตก ซึ่งมีคำสั่งซื้อเพิ่มเข้ามาอย่างต่อเนื่อง สำหรับตลาดต่างประเทศก็เดินหน้าเปิดตลาดใหม่ๆ เพิ่มขึ้น ซึ่งนอกจากตลาดของประเทศจีน แล้ว ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจากับคู่ค้าในประเทศอินเดียอีกด้วยซึ่งหากสามารถบรรลุผลการเจรจาจะทำให้มีคำสั่งซื้อถ่านหินจากบริษัทอีกเป็นจำนวนมาก เพราะอินเดียเป็นประเทศที่นำเข้าถ่านหินจากประเทศอินโดนีเซียเป็นอันดับ 2 รองจากประเทศจีน