เนื้อหาวันที่ : 2011-09-16 17:44:32 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1910 views

ยักษ์ใหญ่อินเดียพบทีทีอาร์ถกพัฒนาการค้าการลงทุนสองปท.

ทาทาเข้าพบ ผู้แทนการค้าไทยร่วมถกโอกาสขยายการค้าการลงทุนไทย-อินเดีย แย้มสนใจลงทุนด้านพลังงาน อุตฯ ชิ้นส่วนยานยนต์และอะไหล่ยานยนต์

สำนักงานผู้แทนการค้าไทย เปิดเผยทาทาเข้าพบ ผู้แทนการค้าไทยร่วมถกโอกาสขยายการค้าการลงทุนไทย-อินเดีย แย้มสนใจลงทุนด้านพลังงาน อุตฯ ชิ้นส่วนยานยนต์และอะไหล่ยานยนต์

บริษัททาทาอินเตอร์-เนชั่นแนล ของอินเดียเข้าพบ ดร.นลินี ทวีสิน ผู้แทนการค้าไทย หารือเกี่ยวกับโอกาสทางการค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับอินเดียผู้แทนการค้าไทย

ดร. นลินี ทวีสิน ผู้แทนการค้าไทย (ทีทีอาร์) ลุยงานต่อเนื่องโดยเปิดโอกาสให้บริษัททาทาอินเตอร์-เนชั่นแนล ยักษ์ใหญ่ของอินเดียเข้าพบหารือเกี่ยวกับโอกาสทางการค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับอินเดียทั้งในด้านไฟฟ้าพลังงานน้ำ ก๊าซ และพลังงานทดแทน รวมทั้ง ชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์

ดร. นลินี เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2554 หัวหน้าส่วนต่างประเทศภูมิภาคเอเชียใต้ของบริษัท บริษัททาทา อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ของอินเดียได้เข้าพบหารือกับตนในฐานะทีทีอาร์เกี่ยวกับโอกาสทางการค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับอินเดีย โดยสนใจเร่งลงทุนกับไทยด้านไฟฟ้าพลังงานน้ำ ก๊าซ พลังงานทดแทน และเหมืองแร่ รวมทั้งสนใจร่วมลงทุนในในอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์

ซึ่งทาทามีประสบการณ์ด้านการลงทุนมาแล้วในหลายประเทศในภูมิภาคแอฟริกา อาทิ แอฟริกาใต้ เคนยา แซมเบีย โมซัมบิก มาลาวี แทนซาเนีย ไนจีเรีย เซเนกัล ซิมบับเว ซูดาน และยูกันดา  นอกจากนี้ ทาทายังแสดงความสนใจร่วมลงทุนด้านเกษตรกับไทย โดยเห็นว่าไทยมีศักยภาพด้านการจัดการเกษตร คาดว่าโครงการลงทุนในไทยดังกล่าว จะเป็นประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่ายในระยะยาว

ดร. นลินีได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ทาทาสนใจจะนำเข้าสินค้าเหล็ก และเศษเหล็ก  ส่วนประกอบยานยนต์ ซึ่งเป็นสินค้าที่ไทยมีศักยภาพส่งออก โดยเฉพาะเศษเหล็ก ซึ่งอินเดียเป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของไทย โดยไทยส่งออกไปมากถึงร้อยละ 25 ของการส่งออกสินค้าดังกล่าวของไทยไปตลาดโลก และในขณะเดียวกันทาทาได้นำเสนอให้ไทยพิจารณานำเข้าตู้รถไฟซึ่งเป็นสินค้าที่อินเดียมีศักยภาพ ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อโครงการรถไฟความเร็วสูงของไทยในอนาคต 

นอกจากนี้ ดร. นลินีเผยว่า การร่วมลงทุนกับอินเดีย และการขยายการส่งออกสินค้าที่ทั้งสองฝ่ายมีศักยภาพจะเป็นประโยชน์และเป็นโอกาสทางการค้าและการลงทุนของผู้ประกอบการไทยอย่างมาก โดยอินเดียเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทยในตลาดเอเชียใต้ และเป็นตลาดที่สำคัญที่สุดตลาดหนึ่งของไทย 

โดยการค้ามีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการขยายตัวดังกล่าวเป็นผลจากการที่ไทยมีมาตรการส่งเสริมการส่งออกไปยังตลาดอินเดีย  โดยในปี 2553 การค้าไทย-อินเดียมีการขยายตัวทั้งในด้านการส่งออกและนำเข้า  การค้ารวมมีมูลค่าประมาณ 6.65 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 34.2    

อย่างไรก็ดี ด้านการลงทุนระหว่างไทยกับอินเดียยังมีมูลค่าไม่มากนัก โดยเป็นการลงทุนในโครงการขนาดกลางและขนาดใหญ่เพิ่มขึ้น รวมทั้งลงทุนในหลากหลายสาขามากขึ้น เช่น เคมีภัณฑ์ กระดาษ พลาสติก ยานยนต์ โลหะพื้นฐาน (เหล็ก อะลูมิเนียม) อิเล็กทรอนิกส์และผลิตภัณฑ์ เหมืองแร่ และเซรามิกส์ เป็นต้น

ทั้งนี้เมื่อเทียบกับศักยภาพของทั้งสองที่ยังมีอยู่มาก จึงควรกระตุ้นให้นักลงทุนทั้งสองฝ่ายลงทุนให้มากขึ้น ซึ่งในฐานะทีทีอาร์ตนมีแผนจะนำคณะนักลงทุนไทยไปหารือกับผู้บริหารระดับสูงของอินเดียเพื่อหาลู่ทางการค้าและการลงทุน และใช้ประโยชน์จากศักยภาพของทั้งสองฝ่ายอย่างเต็มที่ต่อไป