เฌอร่าเปิดกลยุทธ์รุกครึ่งหลัง เดินหน้ารุกตลาดเอเชียหวังดันยอดก้าวกระโดด 1.5 ล้าน ตร.ม.
เฌอร่าเปิดกลยุทธ์รุกครึ่งหลัง เดินหน้ารุกตลาดเอเชียหวังดันยอดก้าวกระโดด 1.5 ล้าน ตร.ม.
เฌอร่าเปิดกลยุทธ์ครึ่งปีหลัง เน้นสร้างตลาดผนังหล่อรูปแบบใหม่ “ เฌอร่า อินฟิลวอลล์” รุกขยายตลาดทั่วเอเชีย มั่นใจยอดขายก้าวกระโดด 1.5 ล้าน ตร.ม.
นายวีระศักดิ์ กิตตินันทกุล ผู้จัดการอาวุโสกลุ่มผลิตภัณฑ์แผ่นไฟเบอร์ซีเมนต์ ตราเฌอร่าบอร์ด บริษัท โอลิมปิคกระเบื้องไทย จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์หลังคาตราห้าห่วงและผลิตภัณฑ์ไฟเบอร์ซีเมนต์ตราเฌอร่า เปิดเผยถึงแผนการตลาดครึ่งปีหลังของผลิตภัณฑ์ “ตราเฌอร่า” ว่า จะมุ่งเน้นสร้างตลาดผนังหล่อในที่ หรือที่เรียกว่า “เฌอร่า อินฟิลวอลล์” มากเป็นพิเศษ เพื่อเป็นการสร้างตลาดใหม่ๆ ให้กับสินค้า และลดปัญหาการแข่งขันในตลาดวัสดุแผ่นไฟเบอร์ซีเมนต์ ที่เริ่มกลยุทธ์สงครามราคาเป็นหลักในการขยายตลาด
“การพัฒนาสินค้าใหม่ๆ เป็นกลยุทธ์การตลาด ที่ถูกเลือกนำมาใช้ในการขยายตลาดในครั้งนี้ เพื่อสร้างความแตกต่าง และเพิ่มยอดขายให้กับสินค้า และล่าสุด บริษัทฯ ได้ออกวางตลาดผลิตภัณฑ์วงกบประตูและหน้าต่างเฌอร่าทำจากไฟเบอร์ซีเมนต์ เพื่อเสริมระบบผนังเฌอร่า อินฟิลวอลล์ ให้เป็นระบบสมบูรณ์ยิ่งขึ้น”
สำหรับ ภาพรวมของตลาดในประเทศของระบบผนัง “เฌอร่า อินฟิลวอลล์”นั้น ในครึ่งปีแรกที่ผ่านมา สามารถสร้างยอดขายมากกว่า 300,000 ตร.ม. และยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและเซ็นสัญญาแบบเลือกใช้ระบบผนัง “เฌอร่า อินฟิลวอลล์” อีกหลายโครงการ รวมพื้นที่กว่า 500,000 ตร.ม. หรือคิดเป็นยอดขายประมาณ 100 ล้านบาท
สำหรับตลาดในต่างประเทศ หลังจากที่ได้บุกเบิกนำระบบผนัง “เฌอร่า อินฟิลวอลล์” ไปเปิดตัวในงานนิทรรศการแสดงสินค้าและนวัตกรรมในหลายประเทศ ตั้งแต่ต้นปี 2553 ปัจจุบันมีหลายๆโครงการให้ความสนใจและเลือกใช้เป็นระบบหลักในงานก่อสร้าง ได้แก่ อินเดีย เนปาล ภูฏาน พม่า รวมถึงแถบตะวันออกกลาง ทั้งอิหร่าน ซาอุดีอาระเบีย การตาร์ และบาร์เรน คิดเป็นพื้นที่ผนังรวมประมาณ 700,000 ตร.ม ซึ่งคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ครึ่งปีหลังนี้เป็นต้นไป
ในอนาคต เชื่อว่าระบบผนังเฌอร่า อินฟิลวอลล์ จะกลายเป็นระบบผนังที่โครงการก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่เลือกใช้เป็นระบบมาตรฐานทดแทนการก่ออิฐฉาบปูน เพราะปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคอุตสาหกรรมก่อสร้างจะมีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงปัญหาจากการขึ้นค่าแรงและการขาดช่างฝีมือในการทำงาน ทำให้ต้องเสียเวลามาแก้ไขปัญหา อีกทั้งยังส่งผลต่อชื่อเสียงของโครงการอีกด้วย