ผลการดำเนินการบริหารจัดการหนี้ภาครัฐประจำเดือนมิถุนายน 2554 และรายงานสถานะหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2554
นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ขอสรุปผลการดำเนินการบริหารจัดการหนี้ภาครัฐประจำเดือนมิถุนายน 2554 พร้อมทั้งรายงานสถานะหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2554 ดังนี้
ผลการบริหารจัดการหนี้ภาครัฐ1. การกู้เงินภาครัฐ
1.1 ผลการกู้เงินในประเทศของรัฐบาล
การกู้เงินในประเทศของรัฐบาลในเดือนมิถุนายน 2554
ในเดือนมิถุนายน 2554 กระทรวงการคลังได้กู้เงินเพื่อชดเชย การขาดดุลงบประมาณ โดยการออกพันธบัตรรัฐบาลจำนวน 4,500 ล้านบาท และการกู้ให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยกู้ต่อ จำนวน 5,063.54 ล้านบาท
ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมารัฐบาลได้ทำการกู้เงินรวม 257,441.22 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น
1. การกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ 139,437.59 ล้านบาท
2. การเบิกจ่ายเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 เพื่อดำเนินการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 จำนวน 112,940.09 ล้านบาท
3. การกู้ให้กู้ต่อ จำนวน 5,063.54 ล้านบาท
1.2 ผลการกู้เงินในประเทศของรัฐวิสาหกิจ
การกู้เงินในประเทศของรัฐวิสาหกิจในเดือนมิถุนายน 2554
ในเดือนมิถุนายน 2554 รัฐวิสาหกิจได้กู้เงินในประเทศ รวมกันทั้งสิ้น 3,100.00 ล้านบาท ลดลงจากเดือนก่อน 4,029.86 ล้านบาท ซึ่งส่งผลให้การกู้เงินในประเทศของรัฐวิสาหกิจในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมามีจำนวนรวม 27,585.01 ล้านบาท
2. การปรับโครงสร้างหนี้ในประเทศ
2.1 การปรับโครงสร้างหนี้ในประเทศของรัฐบาล
การปรับโครงสร้างหนี้ในประเทศของรัฐบาลในเดือนมิถุนายน 2554
ในเดือนมิถุนายน 2554 กระทรวงการคลังได้ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ ดังนี้
2.1.1 การปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรที่ออกภายใต้ พ.ร.บ. การบริหารหนี้สาธารณะที่ครบกำหนดในวันที่ 17 มิ.ย. 2554 จำนวน 52,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น การกู้เงินระยะสั้น 32,000 ล้านบาท และ การออกพันธบัตร เพื่อการบริหารหนี้จำนวน 20,000 ล้านบาท
2.1.2 การแปลงตั๋วเงินคลังเป็นพันธบัตรเพื่อการบริหารหนี้ 6,000 ล้านบาท
2.1.3 การปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรที่ออกภายใต้ พ.ร.ก. ช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูระยะที่สอง (FIDF 3) โดยการออกพันธบัตรจำนวน 10,000 ล้านบาท เพื่อนำไปคืนเงินทดรองจ่ายจากบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลัง (Premium FIDF 1 และ FIDF 3) ในเดือนมกราคม ซึ่งการปรับโครงสร้างหนี้จำนวนดังกล่าวจะไม่ปรากฏในตารางที่ 3 เนื่องจากจะเป็นการนับซ้ำกับการปรับโครงสร้างหนี้ที่ได้รายงานไปแล้ว
2.1.4 การปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 เพื่อดำเนินการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 จำนวน 8,000 ล้านบาท
การปรับโครงสร้างหนี้ในประเทศของรัฐบาลในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา
ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาของปีงบประมาณ 2554 กระทรวงการคลังดำเนินการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ในประเทศเป็นวงเงินรวมทั้งสิ้น 235,549.83 ล้านบาท โดยเป็นการปรับโครงสร้างเงินกู้ชดเชยการขาดดุลงบประมาณและการบริหารหนี้ จำนวน 89,000 ล้านบาท การกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างเงินกู้ชดใช้ความเสียหายให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ FIDF 3 จำนวน 75,949.83 ล้านบาท เงินกู้โครงการไทยเข้มแข็ง 2555 จำนวน 70,600 ล้านบาท
2.2 การปรับโครงสร้างหนี้ในประเทศของรัฐวิสาหกิจ
การปรับโครงสร้างหนี้ในประเทศของรัฐวิสาหกิจในเดือนมิถุนายน 2554
ในเดือนมิถุนายน 2554 รัฐวิสาหกิจได้ปรับโครงสร้างหนี้ในประเทศรวมกันเป็นเงิน 4,080 ล้านบาท ซึ่งส่งผลให้การปรับโครงสร้างหนี้ในประเทศของรัฐวิสาหกิจในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมามีจำนวนรวม 47,992.77 ล้านบาท
3. การชำระหนี้ของรัฐบาล
ในเดือนมิถุนายน 2554 กระทรวงการคลังได้ดำเนินการชำระหนี้โดยใช้เงินงบประมาณ รวม 51,776.38 ล้านบาท ดังนี้
- ชำระหนี้ในประเทศ 50,558.02 ล้านบาท โดยเป็นการชำระต้นเงิน 36,500 ล้านบาท ดอกเบี้ย 14,058.02 ล้านบาท
- ชำระหนี้ต่างประเทศ 1,218.36 ล้านบาท โดยเป็นการชำระต้นเงิน 1,202.27 ล้านบาท ดอกเบี้ย 14.33 ล้านบาท และค่าธรรมเนียม 1.76 ล้านบาท
ยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2554 มีจำนวน 4,279,265.07 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 41.08 ของ GDP โดยเป็นหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง 3,016,739.14 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน 1,073,735.90 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินที่รัฐบาลค้ำประกัน 158,207.58 ล้านบาท และหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน 30,582.45 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้า หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นสุทธิ 30,865.53 ล้านบาท โดยหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาลค้ำประกัน) เพิ่มขึ้น 21,668.56 ล้านบาท 9,653.12 ล้านบาท และ 17.20 ล้านบาท ตามลำดับ ในขณะที่หนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ลดลง 473.35 ล้านบาท ส่วนหน่วยงานอื่นของรัฐนั้นไม่มีหนี้คงค้าง
1. หนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง
1.1 หนี้ในประเทศ
หนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้าเพิ่มขึ้น 21,668.56 ล้านบาท โดยที่สำคัญเกิดจาก
- การออกพันธบัตรเพื่อการบริหารหนี้ 26,000 ล้านบาท
- การไถ่ถอนตั๋วเงินคลัง 4,000 ล้านบาท
1.2 หนี้ต่างประเทศ
หนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรงลดลงจากเดือนก่อน 8,542.10 ล้านบาท และเมื่อคิดในรูป เงินเหรียญสหรัฐลดลง 303.08 ล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจาก
- ผลจากอัตราแลกเปลี่ยนทำให้ยอดหนี้คงค้างในรูปเงินบาทเพิ่มขึ้น 871.19 ล้านบาท และในรูปเงินเหรียญสหรัฐเพิ่มขึ้น 7.52 ล้านเหรียญสหรัฐ
- สกุลเงินยูโรได้มีการชำระคืนประมาณ 0.94 ล้านยูโร หรือคิดเป็นเงินบาทเท่ากับ 41.17 ล้านบาท หรือคิดเป็นเงินเหรียญสหรัฐเท่ากับ 1.36 ล้านเหรียญสหรัฐ
- สกุลเงินเยนได้มีการชำระคืนประมาณ 25,000 ล้านเยน หรือคิดเป็นเงินบาทเท่ากับ 9,350.60 ล้านบาท หรือคิดเป็นเงินเหรียญสหรัฐเท่ากับ 308.53 ล้านเหรียญสหรัฐ
- สกุลเงินเหรียญสหรัฐได้มีการชำระคืนประมาณ 0.71 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินบาทเท่ากับ 21.52 ล้านบาท
2. หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน
2.1 หนี้ในประเทศ
2.1.1 หนี้ที่รัฐบาลค้ำประกัน เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้าเพิ่มขึ้น 5,916.86 ล้านบาท โดยเกิดจาก
- การทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้ออกพันธบัตร 1,000 ล้านบาท
- รัฐวิสาหกิจที่รัฐบาลค้ำประกันมีการเบิกจ่ายจากแหล่งเงินกู้ต่างๆ มากกว่า ชำระคืนต้นเงินกู้ 4,916.86 ล้านบาท
2.1.2 หนี้ที่รัฐบาลไม่ค้ำประกัน เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้าเพิ่มขึ้น 2,677.78 ล้านบาท โดยเกิดจาก
- การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคได้มีการไถ่ถอนพันธบัตร 856 ล้านบาท และ 90 ล้านบาท ตามลำดับ
- รัฐวิสาหกิจที่รัฐบาลไม่ค้ำประกันมีการเบิกจ่ายจากแหล่งเงินกู้ต่างๆ มากกว่า ชำระคืนต้นเงินกู้ 3,623.78 ล้านบาท
2.2 หนี้ต่างประเทศ
2.2.1 หนี้ที่รัฐบาลค้ำประกันเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 2,697.43 ล้านบาท และเมื่อคิดในรูปเงินเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 24.88 ล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจาก
- ผลจากอัตราแลกเปลี่ยนทำให้ยอดหนี้คงค้างในรูปเงินบาท เพิ่มขึ้น 2,766.74 ล้านบาท และในรูปเงินเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 27.17 ล้านเหรียญสหรัฐ
- สกุลเงินเยนได้มีการเบิกจ่ายน้อยกว่าการชำระคืนประมาณ 6.97 ล้านเยน หรือคิดเป็นเงินบาทเท่ากับ 2.61 ล้านบาท หรือคิดเป็นเงินเหรียญสหรัฐเท่ากับ 0.09 ล้านเหรียญสหรัฐ
- สกุลเงินเหรียญสหรัฐได้มีการชำระคืนประมาณ 2.20 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินบาทเท่ากับ 66.70 ล้านบาท
โดยรายละเอียดหนี้ต่างประเทศรัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาล ค้ำประกัน) ในสกุลเงินต่างๆ
2.2.2 หนี้ที่รัฐบาลไม่ค้ำประกันลดลงจากเดือนก่อน 1,638.95 ล้านบาท และเมื่อคิดในรูปเงินเหรียญสหรัฐ ลดลง 106.40 ล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจาก
- ผลจากอัตราแลกเปลี่ยนทำให้ยอดหนี้คงค้างในรูปเงินบาทเพิ่มขึ้น 176.84 ล้านบาท และในรูปเงินเหรียญสหรัฐลดลง 46.49 ล้านเหรียญสหรัฐ
- สกุลเงินยูโรได้มีการชำระคืนประมาณ 8.98 ล้านยูโร หรือคิดเป็นเงินบาทเท่ากับ 391.33 ล้านบาท หรือคิดเป็นเงินเหรียญสหรัฐเท่ากับ 12.91 ล้านเหรียญสหรัฐ
- สกุลเงินเยนได้มีการชำระคืนประมาณ 769.92 ล้านเยน หรือคิดเป็นเงินบาทเท่ากับ 287.97 ล้านบาท หรือคิดเป็นเงินเหรียญสหรัฐเท่ากับ 9.50 ล้านเหรียญสหรัฐ
- สกุลเงินเหรียญสหรัฐได้มีการชำระคืนประมาณ 37.50 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินบาทเท่ากับ 1,136.49 ล้านบาท
โดยรายละเอียดหนี้ต่างประเทศรัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาล ไม่ค้ำประกัน) ในสกุลเงินต่างๆ ทั้งนี้ หากพิจารณาในรูปเงินเหรียญสหรัฐ หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาล ไม่ค้ำประกัน) จำแนกเป็นสกุลเงินต่างๆ
3. หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาลค้ำประกัน)
3.1 หนี้ในประเทศ
หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาลค้ำประกัน) เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้าไม่มีการเปลี่ยนแปลง
3.2 หนี้ต่างประเทศ
หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาลค้ำประกัน) เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 17.20 ล้านบาท และเมื่อคิดในรูปเงินเหรียญสหรัฐลดลง 2.02 ล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจาก
- ผลจากอัตราแลกเปลี่ยนทำให้ยอดหนี้คงค้างในรูปเงินบาทเพิ่มขึ้น 56.30 ล้านบาท และในรูปเงินเหรียญสหรัฐ ลดลง 0.73 ล้านเหรียญสหรัฐ
- สกุลเงินเหรียญสหรัฐได้มีการชำระคืนประมาณ 1.29 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินบาทเท่ากับ 39.10 ล้านบาท
โดยรายละเอียดหนี้ต่างประเทศรัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาลค้ำประกัน) ในสกุลเงินต่างๆ
4. หนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ
หนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้าลดลง 473.35 ล้านบาท เนื่องจาก การลดลงของหนี้สินหมุนเวียน
หนี้สาธารณะ จำนวน 4,279,265.07 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหนี้ต่างประเทศ 342,280.70 ล้านบาท หรือร้อยละ 8 และหนี้ในประเทศ 3,936,984.37 ล้านบาท หรือร้อยละ 92 ของยอดหนี้สาธารณะคงค้าง และเป็น หนี้ระยะยาว 4,231,093.04 ล้านบาท หรือร้อยละ 98.87 และหนี้ระยะสั้น 48,172.03 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.13 ของยอดหนี้สาธารณะคงค้าง
ที่มา : กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง