เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงไม่รู้จักประเทศไอซ์แลนด์ ดินแดนเกาะเล็ก ๆ กลางมหาสมุทรแอตแลนติค แต่เต็มไปด้วยเสน่ห์อันน่าหลงใหล
Patthama Mekavipat
คงมีอีกหลายๆ คนที่ไม่รู้จักประเทศไอซ์แลนด์(Ice land) หรือ อีสแลนด์ (Island ในภาษาไวกิ้ง) เกาะเล็กๆ กลางมหาสมุทรแอตแลนติค โดยโหนตัวอยู่กับเส้นรุ้งที่ 66 องศาเหนือ คือคาบเกี่ยวอยู่กับขั้วโลกเหนือนั่นเอง ด้านซ้ายเป็นเกาะกรีนแลนด์ (Greenland) ส่วนด้านขวา มีเกาะเล็กกว่าอีก เรียกว่า เฟว์โลว์ ไอร์แลนด์ (Faroe Island) ซึ่งเป็นของเดนมาร์ก และแผ่นดินยุโรปที่ถัดออกไปคือ นอร์เวย์ ส่วนประวัติความเป็นมา รับรองว่าลุงกูเกิ้ล ช่วยท่านได้แน่นอน สำหรับดิฉันไอซ์แลนด์คือดินแดนที่ไม่เคยรู้จักเมื่อ 10 ปีที่แล้ว แต่บัดนี้จากการไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ประเทศนี้เปรียบเหมือนเกาะแก้วพิศดารทีเดียวเชียว ลองมารู้จักภูมิศาสตร์ของเค้ากันก่อนดีมั้ยเอ่ย....
เกาะไอซ์แลนด์ รูปร่างเกือบจะเป็นสี่เหลี่ยม มีเมืองหลวงชื่อ เรคยาวิค (Reykjavík) อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ มีเมืองใหญ่ๆ อีก 2 เมือง คือ อาคูเรย์รี่ (Akureyri) อยู่ทางตอนเหนือ ถ้าเปรียบกับเมืองไทย ก็น่าจะประมาณ เชียงใหม่ และ เอกียส์แตรดีย์ (Egilsstaðir) อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือ ประมาณขอนแก่นบ้านเรา
ส่วนสภาพทางธรณีวิทยา เอ..เรียกถูกไหมเนี่ย ประเทศไอซ์แลนด์คือส่วนยอดเขาที่โผล่พ้นน้ำของแนวเขาใต้มหาสมุทร ที่ทอดตัวจากขั้วโลกเหนือไปขั้วโลกใต้นั่นเอง และเทือกเขานี้มีแนวกระแสน้ำอุ่น กัลฟ์สตรีม ที่ไหลวนอยู่ นี่คือสาเหตุว่าทำไมประเทศนี้ถึงอบอุ่นแม้จะอยู่ขั้วโลกเหนือ ไม่หนาวจัดในหน้าหนาวเหมือนกรีนแลนด์ หรือทางเหนือของกลุ่มสแกนดิเนียเวีย และอีกอย่างคือ ใต้เกาะไอซ์แลนด์มีสายลาวาชักเป็นใยแมงมุมอยู่ รวมทั้งธารน้ำร้อนอีกหลายสาย...แต่อยู่มา 10 ปี ก็เพิ่งเจอเหตุการณ์น่าตกใจก็เมื่อเร็วๆ นี้เท่านั้นเอง อ้อ...สังเกตุอีกอย่าง แนวเขาใต้มหาสมุทรเทือกนี้จะมีรอยแยกอยู่ตรงกลาง นั่นคือที่แอบซ่อนของเรือดำน้ำ
ไอซ์แลนด์หรือดินแดนของเปลือกโลกที่ใหม่ที่สุดของโลก พอจะเป็นสิ่งที่บ่งบอกได้ว่า ธรรมชาติของเขานั้นงดงามเพียงใด...แสงเหนือสีเขียว ที่บางครั้งจะแต่งแต้มด้วยสีชมพูในหน้าหนาว โลดแล่นบนผืนฟ้าที่กว้างใหญ่ไพศาล บางครั้งมีลีลาอ่อนช้อยให้ผู้คนได้ชม และรับรู้ถึงความมหัศจรรย์ที่ไม่น่าเชื่อ พื้นผิวของโลกที่เราๆ ท่านๆ เคยเห็นแต่สีดินสีทราย ลองมาดูพื้นธรรมชาติที่สร้างสรรจากความร้อนใต้พื้น แต่งให้พื้นผิวเป็นสีแดง สีเหลือง ตามความร้อนแรงของมัน มีฉากหลังเป็นสีเขียวโดยรอบในหน้าร้อน และสีขาวของปุยหิมะในหน้าหนาว อากาศที่เราสามารถสูดเข้าปอดอย่างที่พูดได้เต็มปากเต็มคำว่า “ชื่นใจ”
ที่นั่นเมืองต่างๆ จะตั้งเรียงรายอยู่โดยรอบเกาะ ไม่มีตึกสูงระฟ้า ให้ระเกะระกะสายตา ไม่มีต้นไม้ใหญ่ๆ มากพอจะเป็นป่าให้เดินหลง แต่ก็งามด้วยธรรมชาติแบบเรียบๆ ของเขาเอง ถนนสายเมนจึงเป็นถนนที่วนรอบเกาะเป็นลักษณะวงกลม ผู้คนอยู่อาศัยแต่ละเมืองไม่มากมายนัก เป็นลักษณะชนบทเล็กๆ และเป็นธรรมชาติมาก ส่วนใหญ่จะตั้งหน้าตั้งตาทำงานกันในหน้าหนาวสำหรับคนเมือง ส่วนตามฟาร์มจะทำงานหนักกันในหน้าร้อน เป็นวงจรชีวิตที่เรียบง่ายและดูมีความสุขเหลือเกิน ไม่ต้องเร่งรีบแข่งกับเวลา ไม่ต้องกินข้าว แต่งหน้าทาปากกันในรถ เฮ้อ....ช่างหน้าอิจฉาเสียจริง
สำหรับเมืองหลวงอย่าง Reykjavík (เรคยาวิค)...คงอ่านได้ตามที่ได้ยินเท่านั้นนะคะ...นอกจากการดำรงชีวิตเป็นปกติธรรมดา ทำงาน จับจ่ายซื้อของใช้ปรกติ คืนวันศุกร์-เสาร์ก็ออกเที่ยวบ้างตามประสา แต่สำหรับนักเดินทาง ก็คงเป็นเมืองๆ หนึ่งที่น่าค้นหาทีเดียว ด้วยว่าเป็นประเทศที่ค่าครองชีพสูงประเทศหนึ่ง
แต่ปัจจุบันด้วยภาวะทรุดตัวทางเศรษฐกิจ ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนที่สูงหดหายไปกว่าครึ่ง นักท่องเที่ยวจึงไปเที่ยวได้อย่างสบายๆ กันมากขึ้น ที่พักก็มีทั้งระดับโรงแรม 5 ดาว ไปจนถึงห้องพักรวมถูกๆ แล้วแต่จะเสาะหากันไป แต่สำหรับชาวไทย ใครสนใจ...สอบถามดิฉันได้ เพื่อนฝูง พวกพ้อง มีอยู่เยอะค่ะ อาจจะได้โฮมสเตย์ ราคาชิลๆ หรือผิดนัก ก็พักวัดกับหลวงพ่อ (เอ่อ..กรณีผู้ชายหรือคณะที่มีผู้ชายนะคะ) ท่านมหาประสิทธิ์ ใจดีมากค่ะ
เรคยาวิคเป็นเมืองเล็กๆ ชายฝั่งมีถนนชอปปิ้ง ศูนย์การค้า เรียกว่าเดินเที่ยวได้สบายๆ กับสภาพอากาศที่ไม่ทำให้เหนื่อยนัก แต่ถนนก็ขึ้นๆ ลงๆ ให้พอเมื่อยนั่นแหละค่ะ หากไม่อยากเดิน รถเมล์โดยสารก็สะดวกสบาย (ไม่แน่น) สนนราคาก็ไม่แพง ประมาณ 70 บาท ต่อการเดินทางจากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่ง ภาษาที่นี่ใช้ภาษาไอซ์แลนดิกค่ะ แต่คนส่วนใหญ่พูดภาษาอังกฤษเก่งๆ ทั้งนั้น เราใช้เวลาในเมืองหลวงวันเดียวก็เกินพอค่ะ เพราะเรามีที่เที่ยวอีกมากมายรอให้พบเจอ
เรคยาวิคมีจุดชมเมือง 2 แห่ง คือที่ เพิร์ลแลน (Perlan) ซึ่งสร้างบริเวณถังเก็บน้ำเดิมประจำเมือง มีลักษณะเหมือนโลกครึ่งใบตั้งอยู่บนถังขนาดยักษ์สี่ใบ ภายในมีร้านขายของที่ระลึก รวมทั้งพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ไวกิ้ง ส่วนอีกแห่งคือหอสูงของโบสถ์ฮัลล์กรีมสคิร์คยา (Hallgrímskirkja) โบสถ์ใหญ่กลางเมืองซึ่งใช้เวลาสร้างกว่าจะเสร็จร่วม 38 ปีทีเดียว นอกจากนั้นหน้าโบสถ์ยังมีรูปปั้นของ เลฟร์ อีริกสัน (Leifr Eiriksson) ถือเป็นชาวนอสร์คนแรกที่ไปเหยียบอเมริกาและกรีนแลนด์ ทั้งสองแห่งสามารถมองเห็นเมืองเรคยาวิคได้ทั้งเมืองโดยรอบ สำหรับที่โบสถ์ต้องเสียค่าขึ้นไปชมนะคะ (ราคาไม่แพงมาก)
ตำนานบ้านผีสิง อาคารหลังนี้ตกทอดกันมาจนเป็นของรัฐบาล และว่ากันว่ามีผีสิง มาเชื่อเอาเมื่ออ่านนิตยสารรายเดือนของไทยฉบับหนึ่ง โดยอ้างอิงหนังสือ “EXPLORE YOUR WORLD” ของรายการทีวีชื่อดังของโลก Discovery channel อาคารหลังนี้มีความน่าภาคภูมิใจคือ เคยเป็นที่พบปะกันของสองผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของโลกคือ รัสเซียและอเมริกา เพื่อลดดีกรีของสงครามเย็น เป็นจุดเริ่มต้นของความสงบของโลก
แม้จะเป็นเมืองเล็กๆ แต่คนไทยก็มีไม่น้อย ถึงตอนนี้ก็พันกว่าคนทีเดียว คนไทยคนแรกที่ไปอยู่ไอซ์แลนด์เมื่อ 20 กว่าปีก่อน เธอยังคงใช้ชีวิตกับครอบครัวชาวไอซ์แลนด์อยู่ที่เกาะเล็กๆ ทางตอนใต้ คือเกาะ เวสมาเนียร์ (Vestmannaeyja) เกาะที่เคยมีภูเขาไฟระเบิดครั้งใหญ่จนลาวาไหลท่วมบ้านเรือนประชาชนไปครึ่งเกาะ แต่ก็ไม่มีใครได้รับอันตราย เพราะมีระบบการเตือนภัยและหลบภัยที่ดี..
อาชีพหลักของคนไทยที่เดินทางไปไอซ์แลนด์ อันดับแรก คือการเข้าทำงานที่โรงงานปลา ที่มีอยู่ทั่วไป รองลงมาก็ทำความสะอาด งานในโรงพยาบาล โดยเฉพาะในครัว งานดูแลคนสูงอายุ นี่เป็นงานทั่วๆ ไป สำหรับชาวไทยที่เดินทางไปอยู่อาศัยในไอซ์แลนด์ แต่ระดับครูบาอาจารย์ก็มีนะคะ เป็นถึงโปรเฟสเซอร์ สอนในมหาวิทยาลัย อีกอาชีพที่น่าสนใจคือล่าม ในระยะหลังๆ มานี่ มีเด็กไทยที่ติดตามมารดาไปใช้ชีวิตที่นั่น เข้ารับการศึกษาในระบบและจบการศึกษาในระดับสูงๆ กันเยอะขึ้น
สำหรับดิฉัน นอกจากการเป็นแม่ครัว ยังรับจ๊อบพิเศษหลังเลิกงานได้ในคืนวันศุกร์ เสาร์ โดยการไปเป็นบาร์เทนเดอร์ตามบาร์ ก็สนุกไปอีกรูปแบบ เพราะได้ใช้ภาษาที่สนุกๆ ของไอซ์แลนด์ด้วย ส่วนเรื่องเกร็ดเล็กน้อย ไม่ว่าเรื่องภาษา หรือเรื่องการทำงานในโรงงานต่างๆ คงจะมีโอกาสมาเล่าสู่กันฟังในภายหลัง รวมทั้งกิจกรรมของคนไทยในประเทศไอซ์แลนด์ด้วยค่ะ
สิ่งหนึ่งที่ดิฉันชอบในการใช้ชีวิตในประเทศไอซ์แลนด์คือความปลอดภัย แต่สองสามปีมานี้ ไอซ์แลนด์จำเป็นต้องรับแรงงานจากกลุ่มอียูด้วยกัน ทำให้มีแรงงานจากรัสเซีย โปแลนด์และหลายๆ ประเทศซึ่งก็นำมิฉาชีพเข้ามาในประเทศอย่างมากมายทีเดียว เดี๋ยวนี้จึงต้องระวังกันมากขึ้น แต่ถ้าเทียบกับบ้านเราแล้วก็ถือได้ว่า ของเค้าระดับอนุบาลเท่านั้นจ้า...
ขอบคุณบทความดี ๆ จาก Add Free Magazine