ห่วงรัฐบาลใหม่มือเติบกู้เงินลงทุน ดันหนี้สาธารณะพุ่งชนเพดาน หวั่นซ้ำรอยยุโรป แนะลดภาษีนิติบุคคล เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน
นิด้าในโจทย์รบ.ใหม่ ชูเอกชนหัวหอกขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ห่วงรัฐบาลใหม่มือเติบกู้เงินลงทุน ดันหนี้สาธารณะพุ่งชนเพดาน หวั่นซ้ำรอยยุโรป แนะลดภาษีนิติบุคคล เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน
ผู้อำนวยการหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต คณะรัฐประศาสนศาสตร์ นิด้า หรือ MPA NIDA ฝากการบ้านรัฐบาลใหม่ชูภาคเอกชนหัวหอกขับเคลื่อนเศรษฐกิจ หวั่นรัฐมือเติบกู้เงินลงทุน ดันหนี้สาธารณะติดเพดาน เกรงเกิดวิกฤติการเงินเหมือนในยุโรป แนะรัฐลดภาษีนิติบุคคล เพิ่มขีดความสามารถแข่งขันภาคธุรกิจ ดึงต่างชาติลงทุนในไทย หลังแนวโน้มดอกเบี้ย ราคาน้ำมันและค่าแรงขั้นต่ำ กดดันต้นทุนการผลิตพุ่ง ฉุดขีดความสามารถการแข่งขันภาคเอกชนวูบ
รศ.ดร.มนตรี โสคติยานุรักษ์ ผู้อำนวยการหลักสูตร MPA คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนศาสตร์ (NIDA) เปิดเผยว่า รัฐบาลชุดใหม่ที่เข้ามาบริหารประเทศ จะต้องเตรียมรับมือกับปัจจัยลบทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังที่กดดันต่อภาวะเศรษฐกิจของไทย ซึ่งอยากจะฝากให้รัฐบาลใช้นโยบายที่ให้ความสำคัญกับภาคเอกชนในการเป็นหัวหอกขับเคลื่อนเศรษฐกิจแทนการลงทุนจากรัฐบาล เนื่องจากการดำเนินนโยบายการคลังไม่สามารถทำได้มากนัก เพราะมีงบลงทุนเพียง 20% จากงบประมาณรายจ่ายทั้งหมด หากรัฐบาลเลือกการกู้เงินเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ก็มีความเป็นห่วงสถานะของหนี้สาธารณะที่จะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น จนอาจเกิดวิกฤติเศรษฐกิจเหมือนในยุโรปและสหรัฐอเมริกา
ทั้งนี้ รัฐบาลชุดใหม่ต้องสร้างความแข็งแกร่งให้กับภาคเอกชน โดยลดภาษีเงินได้นิติบุคคลให้ใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อดึงนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น และยังสามารถช่วยให้ภาคเอกชนของไทยลดต้นทุนดำเนินงาน ในภาวะที่ต้นทุนเพิ่มสูงขึ้นจากปัจจัยแนวโน้มดอกเบี้ย ราคาน้ำมัน และค่าแรงขั้นต่ำที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง และอาจทำให้ภาคเอกชนที่เคยหลีกเลี่ยงภาษีเพราะจ่ายภาษีไม่ไหวกลับเข้ามาสู่ระบบอีกด้วย
“โจทย์ที่รัฐบาลใหม่ต้องเร่งแก้คือ จะทำอย่างไรที่จะหารายได้จากภาษีเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่มีเพียง 17% ของจีดีพีเท่านั้น และต้องไม่กระทบการค้าการลงทุน ซึ่งผมมองว่า การลดภาษีนิติบุคคลลงมา เป็นทางออกที่ดีที่สุด เพราะจะทำให้ขีดความสามารถการแข่งขันของภาคเอกชนดีขึ้น และยังสามารถดึงนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทยได้มากขึ้น เกิดการจ้างงานมากขึ้น มีการบริโภคภายในประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้รัฐมีรายได้จากการเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) เพิ่มขึ้นด้วย” รศ.ดร.มนตรีกล่าว
นอกจากนี้ รัฐบาลชุดใหม่ต้องกำหนดยุทธศาสตร์การส่งออก การค้าและการลงทุนในตลาดต่างประเทศ เพราะปัจจุบันไทยมีการค้าการลงทุนจากต่างประเทศคิดเป็น 72% ของจีดีพี ดังนั้น รัฐควรบริหารความเสี่ยงด้านการส่งออก โดยพยายามหาตลาดส่งออกใหม่ๆ หรือมองประเทศเศรษฐกิจมีการขยายตัวที่ดี เช่น จีนและอินเดีย และลดน้ำหนักการค้ากับประเทศในแถบสหรัฐ ยุโรปและญี่ปุ่น ที่กำลังประสบปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ