แสนสิริ ชี้ความนิยมโซนสุขุมวิทและแนวรถไฟฟ้าจะดันราคาคอนโดใจกลางเมืองสูงขึ้น เชื่อไม่เกิดฟองสบู่คอนโดแน่ เพราะกำลังซื้อส่วนใหญ่ซื้อเพื่ออยู่จริง
แสนสิริ ชี้ความนิยมโซนสุขุมวิทและแนวรถไฟฟ้าจะดันราคาคอนโดใจกลางเมืองสูงขึ้น เชื่อไม่เกิดฟองสบู่คอนโดแน่ เพราะกำลังซื้อส่วนใหญ่ซื้อเพื่ออยู่จริง
แสนสิริ ส่งทีมวิจัยสำรวจตลาดคอนโดมิเนียมในช่วงที่ผ่านมา พบคอนโดฯ เปิดใหม่ไตรมาสแรกปี 2554 จำนวน 30 โครงการ รวม 12,275 ยูนิต ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มราคาตํ่ากว่า 50,000 บาทต่อ ตร.ม. คาดแนวโน้มปริมาณการดูดซับคาดการณ์ที่สัดส่วน 50% และส่วนใหญ่เป็นการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง เผยปี 53 ยอดขายหลักมาจากผู้ประกอบการที่มีชื่อเสียงและแสนสิริยังครองแชมป์ด้าน supply และ demand ของคอนโดโซนสุขุมวิทตอนปลาย สอดคล้องกับผลวิจัยว่าผู้บริโภคปัจจุบันให้ความสำคัญกับแบรนด์และความมั่นใจในการดำเนินงานของบริษัทอสังหาฯ มากยิ่งขึ้น
นายอุทัย อุทัยแสงสุข รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสสายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการ คอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยล่าสุดว่า สถานการณ์ตลาดคอนโดมิเนียมในระหว่างเดือนมกราคม – เดือนมีนาคมที่ผ่านมา จากการสํารวจข้อมูลเบื้องต้นพบ supply คอนโดมิเนียมเปิดใหม่ประมาณ 30 โครงการรวม 12,275 ยูนิต มูลค่าเสนอขายรวมที่ 24,882 ล้านบาท
หากพิจารณาด้านราคาพบว่า กลุ่มราคาเสนอขายของโครงการใหม่เน้นคอนโดมิเนียมกลุ่มราคาตํ่ากว่า 50,000 บาทต่อ ตร.ม. เป็นหลัก โดยมีจํานวน 7,454 ยูนิต (คิดเป็น 61% จากจํานวน supply ใหม่ทั้งหมด) รองลงมาคือกลุ่มราคา 50,000-69,999 บาทต่อ ตร.ม. จํานวน 2,601 ยูนิต (คิดเป็น 21%), กลุ่มราคา 100,000-199,999 บาทต่อ ตร.ม. จํานวน 1,332 ยูนิต (คิดเป็น 11%) และกลุ่มราคา 70,000-99,999 บาทต่อ ตร.ม. จํานวน 888 ยูนิต (คิดเป็น 7%)
“แม้ว่าในช่วงไตรมาสแรกของปีจะมียอดขายจํานวน 3,804 ยูนิต มูลค่ายอดขายรวมอยู่ที่ 6,643 ล้านบาท (คิดเป็น 31% จากจํานวน supply ใหม่ทั้งหมด) แต่กลุ่มคนซื้อส่วนใหญ่ก็เป็นการซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง ไมใช่การซื้อเพื่อเก็งกำไร ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ต้องอาศัยเวลาในการตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ หากโครงการคอนโดมิเนียมมีราคาเหมาะสม ตั้งอยู่ในทำเลที่ดีและได้รับการพัฒนาจากผู้ประกอบการที่มีชื่อเสียง เชื่อถือได้และมีผลงานที่เป็นที่ยอมรับก็จะทำให้ตัดสินใจซื้อได้เร็วและง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่ดีและช่วยป้องกันการเกิดฟองสบู่คอนโดมิเนียมหรือภาวะคอนโดมิเนียมล้นตลาดได้”
นายอุทัย กล่าวต่อว่า จากการคาดการณ์ supply ในช่วงครึ่งปีแรก 2554 ซึ่งรวมถึงคอนโดมิเนียมคงค้างจากปี 2553 และโครงการใหม่ที่เสนอขายในช่วงปีนี้นั้นจะมีจำนวนรวมประมาณ 48,000 – 53,000 ยูนิต โดยปริมาณการดูดซับคาดการณ์ที่จํานวน 25,000-30,000 ยูนิตหรือคิดเป็นสัดส่วนโดยประมาณ 50% จากยูนิตเสนอขายที่คาดว่าจะยังทรงตัวใกล้เคียงกับครึ่งปีหลังปี 2553 และระดับราคาจะเปลี่ยนแปลงโดยเฉลี่ยรวมทุกพื้นที่ไม่เกิน 1%
เนื่องจากมี supply ราคาตํ่าเข้ามาสูง ส่วนพื้นที่ในโซนสุขุมวิทชั้นใน, รัชดา – ลาดพร้าว และสุขุมวิทรอบนอกจะเป็นโซนที่ลูกค้าและผู้ประกอบการให้ความนิยมเนื่องจากศักยภาพของทำเล การอยู่อาศัยหนาแน่นของชุมชน และราคาที่หลากหลาย เพราะปัจจุบันลูกค้าให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านราคาก่อนปัจจัยด้นทำเล คอนโดมิเนียมราคาไม่แพงแต่ยังสามารถเดินทางโดยรถไฟฟ้าได้แม้ต้องเดินทางซักระยะก่อนถึงสถานีจึงได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น จึงทำให้โซนดังกล่าวอาจมีการถีบตัวเพิ่มขึ้นของราคาประมาณ 3 – 5% ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2554
สำหรับตลาดคอนโดมิเนียมในปี 2553 ที่ผ่านมาเติบโตสูงขึ้นกว่าปี 2552 ถึง 76% เมื่อเทียบตามจำนวน supply และเติบโตสูงขึ้นอีก 72% เมื่อเทียบตามจำนวน demand โดยมียอดเสนอขายทั้งปีอยู่ที่ 88,066 ยูนิต และยอดขายที่ 52,103 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 59% จากยอดเสนอขาย
โดยเมื่อช่วงครึ่งปีหลังของปีที่ผ่านมาคอนโดมิเนียมที่เสนอขายในกลุ่มราคาต่ำกว่า 50,000 บาทต่อ ตร.ม. มียอดขายสูงสุด คาดว่าเป็นผลมาจาก supply ที่เปิดตัวอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2552 ที่ได้รับผลประโยชน์จากมาตรการส่งเสริมการลงทุนของ BOI และฐานลูกค้าระดับกลาง – ล่าง นับเป็นกลุ่ม real demand ขนาดใหญ่ที่มีกำลังซื้อสูง อย่างไรก็ตาม ยอดขายส่วนใหญ่มาจากผู้ประกอบการที่มีชื่อเสียงเพราะลูกค้ามีความเชื่อมั่นในแบรนด์และมั่นใจในการดำเนินงาน
ทั้งนี้ พื้นที่บริเวณสุขุมวิทยังได้รับความนิยมสูงโดยเฉพาะสุขุมวิทตอนปลาย (ตั้งแต่สุขุมวิท 71 เป็นต้นไป) โดยมี supply เสนอขายสูงสุด 9,325 ยูนิต และเป็นโซนที่บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ชิงส่วนแบ่งทั้ง supply และ demand ได้มากที่สุด