บิ๊ก BWG มั่นใจโค้งสองปี 54 โชว์ฟอร์มแจ๋วดันธุรกิจโตต่อเนื่องหลังภาคอุตฯเริ่มฟื้นประกอบกับรัฐเข้มงวดการกำจัดกากอุตสาหกรรมถูกวิธี เตรียมลงทุนต่อยอดรีไซเคิล-แปรรูปเป็นพลังงานเพิ่ม
นายสุวัฒน์ เหลืองวิริยะ
ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ
บริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด (มหาชน)
บิ๊ก BWG มั่นใจโค้งสองปี 54 โชว์ฟอร์มแจ๋วดันธุรกิจโตต่อเนื่องหลังภาคอุตฯเริ่มฟื้นประกอบกับรัฐเข้มงวดการกำจัดกากอุตสาหกรรมถูกวิธี เตรียมลงทุนต่อยอดรีไซเคิล-แปรรูปเป็นพลังงานเพิ่ม
"สุวัฒน์ เหลืองวิริยะ" มั่นใจ โค้งสองปี 2554 BWG ยังสร้างผลงานเยี่ยมต่อเนื่องจากไตรมาสแรก เหตุการเติบโตของธุรกิจยังส่งโมเมนตั้มต่อเนื่อง แถมรัฐยังเข้มข้นเรื่องกำจัดกากอุตสาหกรรมอย่างถูกวิธี ส่งผลให้มีปริมาณกากอุตสาหกรรมเข้าสู่ระบบมากขึ้น คาดสิ้นปีไม่ทำให้นักลงทุนผิดหวัง ล่าสุดเตรียมแผนลงทุนเพิ่มเพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจพร้อมส่งสัญญาณอาจต่อยอดเข้าสู่การรีไซเคิลและแปรรูปเป็นพลังงานเพิ่มด้วย เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงในอนาคต
นายสุวัฒน์ เหลืองวิริยะ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด (มหาชน) หรือ BWG ผู้ประกอบธุรกิจบัดบัดกากอุตสาหกรรมอย่างครบวงจรระดับแนวหน้าของประเทศไทย เปิดเผย ถึงแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาสที่ 2/2554 ว่า คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาสแรกที่ผ่านมา และขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนได้ ตามทิศทางการเติบโตของธุรกิจบำบัดกากอุตสาหกรรมที่ได้รับผลดีจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมของประเทศ สนับสนุนให้ปริมาณกากอุตสาหกรรมเพิ่มมากขึ้น
ประกอบกับนโยบายลดปัญหามลพิษของกระทรวงอุตสาหกรรมได้เพิ่มความเข้มในการผลักดัน ให้ภาคอุตสาหกรรมต้องจัดการกากอุตสาหกรรมให้เป็นระบบ จึงทำให้มีกากอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะเข้าบำบัดตามกระบวนการที่ถูกต้องเพิ่มมากขึ้น ซึ่งถือว่าส่งผลดีต่อบริษัทฯ โดยตรง ซึ่งจะสะท้อนให้ผลประกอบการเติบโตได้ต่อเนื่องดังกล่าว
"ในปี 2551 ประเทศไทย มีกากอุตสาหกรรมทั้งที่อันตรายและไม่อันตรายรวมกันประมาณ 17 ล้านตัน จากนั้นได้เพิ่มขึ้นเป็น 21 ล้านตันในปี 2552 และเพิ่มขึ้นเป็น 26.8 ล้านตันในปี 2553 และในปีนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 20% จากปี 2553 ในขณะที่บริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน สามารถบำบัดกากอุตสาหกรรมทั้ง 2 ประเภทรวมกันประมาณ 2.7 แสนตัน/ปี ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับปริมาณกากอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นในแต่ละปี
ถึงแม้ว่าปัจจุบัน BWG ถือเป็นเป็นผู้มีส่วนแบ่งเป็นอันดับ 1 ในธุรกิจบำบัดกากอุตสาหกรรม คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 70-80% ของปริมาณกากอุตสาหกรรมที่บำบัดตามกระบวนการที่ถูกต้องก็ตาม จึงจะเห็นได้ว่าหากรัฐสามารถเข้มงวดให้โรงงานนำกากอุตสาหกรรมมาบำบัดตามกระบวนการได้เพิ่มขึ้น ก็จะทำให้บริษัทฯ ได้รับผลดีทันที เนื่องจาก BWG เป็นผู้ประกอบการรายเดียวที่มีกระบวนการรองรับการบำบัดกากอุตสาหกรรมอย่างครบวงจร ทั้งฝังกลบ นำกลับมาใช้ใหม่ และการเผา โดยทุกกระบวนการได้มาตรฐานของกรมโรงงานอุตสาหกรรม และเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่รายเดียวที่ยังดำเนินธุรกิจอยู่ตามปกติในปัจจุบัน"
นายสุวัฒน์ กล่าวอีกว่า เพื่อให้สอดคล้องกับโน้มธุรกิจบำบัดกากอุตสาหกรรมที่มีทิศทางเติบโตอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯจึงได้เตรียมลงทุนเพิ่มเพื่อรองรับการเติบโตดังกล่าว โดยได้เตรียมก่อสร้างหลุมฝังกลบเพิ่มเติม ลงทุนในระบบกำกับดูแลและความคุมคุณภาพสิ่งแวดล้อม รวมทั้งระบบอำนวยความสะดวกในการขนส่งกากอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นระบบเฉพาะ เพราะการขนส่งต้องการความปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อมสูง ซึ่งการลงทุนเหล่านี้จะช่วยเพิ่มศักยภาพและความสามารถในการรองรับปริมาณกากอุตสาหกรรมทั้งเป็นอันตราย และไม่เป็นอันตรายที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคตได้อย่างคล่องตัวมากยิ่งขึ้น
นอกจากนั้น บริษัทฯ อยู่ระหว่างการศึกษาถึงความเป็นไปได้ที่จะต่อยอดธุรกิจจัดการกากอุตสาหกรรมจากการกำจัดไปสู่การรีไซเคิล เพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ และแปรรูปเป็นเชื้อเพลิงเพื่อใช้ในธุรกิจพลังงาน ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับการบริหารจัดการในภาคอุตสาหกรรม ในขณะเดียวกันยังได้ขยายธุรกิจสู่การจัดการของภาคประชาชน โดยใช้หลักการบริหารแบบเดียวกัน ซึ่งเห็นได้จากโครงการก่อสร้างหลุมขยะชุมชนของเทศบาลนครนครราชสีมา ที่มีมูลค่าโครงการกว่า 400 ล้านบาท ที่เป็นช่องทางเพิ่มรายได้ให้กับบริษัทฯ ด้วยอีกทางหนึ่ง
ทั้งนี้ บริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด (มหาชน) รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 1 ปี 2554 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2554 ว่า บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 21 ล้านบาท หรือหุ้นละ0.07 บาท เพิ่มขึ้น. 26.17 ล้านบาท หรือร้อยละ 406.18 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2553 ที่ขาดทุนสุทธิ 5.17 ล้านบาท หรือขาดทุนหุ้นละ 0.02 บาท และถือว่าใกล้เคียงกับกำไรงวด 9 เดือนของปี 2553 ที่ทำได้ 23 ล้านบาท
สำหรับการเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นของกำไรสุทธิในงวดสามเดือน (ไตรมาส1) สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2554 เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ และการลดลงของต้นทุน โดยบริษัทฯมีรายได้จากการให้บริการกำจัดกากอุตสาหกรรม จำนวน 182.60 ล้านบาท เปรียบเทียบกับระยะเวลาเดียวกันของปีก่อน จำนวน 138.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 43.70 ล้านบาท คิดเป็นอัตราร้อยละ 31 เนื่องจากเป็นการดำเนินงานในสภาวะเศรษฐกิจปกติต่อเนื่องมาจากไตรมาส 4 ปี2553
โดยในไตรมาส1 ปี2553 บริษัทฯยังมีปริมาณกากอุตสาหกรรมไม่เต็มที่เนื่องจากยังได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจต่อเนื่องมาจากปี2552 และรายได้จากงานก่อสร้าง มีจำนวน 17.20 ล้านบาท เปรียบเทียบกับระยะเวลาเดียวกันของปีก่อน จำนวน 16.48 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 0.72 ล้านบาท คิดเป็นอัตราร้อยละ 4 ซึ่งเป็นไปตามการส่งมอบงานในแต่ละงวดงาน
ในขณะที่ต้นทุนจากการให้บริการกำจัดกากอุตสาหกรรม สำหรับงวดสามเดือน(ไตรมาส1) สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2554 และ 2553 จำนวน 118.09 ล้านบาท คิดเป็นอัตราร้อยละ 65 ของรายได้ ซึ่งถือว่าลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับระยะเวลาเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 108.79 ล้านบาท หรือร้อยละ 78 ของรายได้ เนื่องจากต้นทุนบางส่วนเป็นต้นทุนคงที่ไม่ได้ผันแปรตามสัดส่วนรายได้ และต้นทุนบางส่วนที่ลดลงเนื่องจากการบริหารจัดการ ส่วนต้นทุนจากงานก่อสร้างมีจำนวน 15.00 ล้านบาท คิดเป็นอัตราร้อยละ 87 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับระยะเวลาเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 14.19 ล้านบาท หรือร้อยละ 86 ของรายได้ เนื่องจากเป็นการรับรู้รายได้ตามวิธีอัตราส่วนงานที่ทำเสร็จ