หอการค้าไทย เตือนนโยบายหาเสียงที่ชูขึ้นค่าแรงขั้นต่ำให้นึกถึงผลกระทบสุทธิที่จะเกิดขึ้นกับระบบเศรษฐกิจ ย้ำเป้าหมายการพัฒนาศก.คือสร้างความเจริญเติบโตที่ยั่งยืน แนะเน้นเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน ยกระดับฝีมือแรงงาน
หอการค้าไทย เตือนนโยบายหาเสียงที่ชูขึ้นค่าแรงขั้นต่ำให้นึกถึงผลกระทบสุทธิที่จะเกิดขึ้นกับระบบเศรษฐกิจ ย้ำเป้าหมายการพัฒนาศก.คือสร้างความเจริญเติบโตที่ยั่งยืน แนะเน้นเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน ยกระดับฝีมือแรงงาน
นายพงษ์ศักดิ์ อัสสกุล รองประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยว่า หอการค้าไทยเห็นว่า การยกระดับรายได้ของประชาชนในประเทศนั้น ถือเป็นเรื่องสำคัญในลำดับต้น ๆ ดังนั้น จึงอยากให้รัฐบาลใหม่มองภาพของการยกระดับรายได้ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มภาคการเกษตรกับกลุ่มผู้ใช้แรงงาน การมองเฉพาะภาคแรงงานที่มีค่าจ้างเพียงอย่างเดียว จึงอาจจะไม่ใช่คำตอบที่ถูกที่สุดของการแก้ปัญหาในด้านรายได้
ซึ่งหอการค้าไทยเองเมื่อปลายปีที่แล้ว หอการค้าไทยได้มีริเริ่มเสนอแนวทางในการลดความเหลื่อมล้ำของการกระจายรายได้ไปสู่ภาคการเกษตร ที่ถือเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ ภายใต้แนวทางภายใต้แนวทางลดความเหลื่อมล้ำของการกระจายรายได้ประกอบด้วย โครงการ 1 ไร่ 1 แสน และ 1 บริษัท 1 ชุมชน ในการสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 28 ณ จังหวัดขอนแก่น ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ในปี 2554 หอการค้าไทย ได้กำหนดเป้าหมายการขยายการดำเนินโครงการ โดยโครงการ 1 ไร่ 1 แสน ขยายพื้นที่ให้ครอบคลุมจำนวน 20,000 ไร่ และโครงการ 1 บริษัท 1 ชุมชน ขยายพื้นที่ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ซึ่งขณะนี้ได้จัดอบรมให้กับเกษตรกรดำเนินการแล้ว 42 จังหวัด จำนวน 3,921 ราย สำหรับโครงการ 1 บริษัท 1 ชุมชน ปัจจุบันมี 32 โครงการ แบ่งเป็นโครงการ ที่ได้ดำเนินการแล้ว25 โครงการ และเริ่มดำเนินการ 7 โครงการ ครอบคลุมพื้นที่ 24 จังหวัด
สำหรับกลุ่มผู้ใช้แรงงาน เมื่อใกล้ช่วงเทศกาลเลือกตั้ง หลายพรรคการเมืองเริ่มที่จะมีการหาเสียงกับกลุ่มคนในอาชีพต่างๆ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ กลุ่มแรงงาน ที่พรรคการเมืองต่างๆ มองถึงฐานเสียงที่กว้าง และเห็นถึงแนวทางและนโยบายในการตอบสนองความต้องการของแรงงาน
โดยหลายพรรคการเมืองที่เน้นถึงการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ การขึ้นเงินเดือน ซึ่งที่เห็นเด่นชัดที่สุดมี 2 พรรคการเมืองหลักได้เสนอนโยบายเพื่อค่าแรงขั้นต่ำให้สูงขึ้นจากระดับปัจจุบันที่อยู่ในระดับ 159-221 บาทต่อวัน (สำหรับกทม. และปริมณฑลมีค่าจ่างขั้นต่ำที่ 215 บาทต่อวัน) โดยพรรคประชาธิปัตย์มีนโยบายปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ 25% ภายใน 2 ปี หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 50 บาทต่อวัน ภายใน 2 ปี ขณะที่พรรคเพื่อไทยมีนโยบายปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาท
โดยไม่ระบุเวลาว่าจะปรับขึ้นทันทีหรือภายในกี่ปี แสดงว่าค่าแรงขั้นต่ำจะเพิ่มขึ้นประมาณ 80 บาทต่อวัน และพรรคเพื่อไทยยังเสนอปรับขึ้นเงินเดือนระดับปริญญาตรีให้อยู่ที่ 15,000 บาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณเดือนละ 5,000 บาท
จากนโยบายของพรรคการเมืองต่างๆ ที่มีแนวนโยบายที่จะสร้างให้แรงงานมีรายได้เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งถือเป็นแนวนโยบายที่ประชาชนได้รับประโยชน์จากนโยบายดังกล่าว แต่สิ่งที่ต้องกลับมาพิจารณาอีกทางด้านหนึ่งคือ ภาคเอกชน หรือผู้ประกอบการในฐานะผู้จ้างงานว่าสามารถรับภาระจากการปรับขึ้นค่าแรงและเงินเดือนได้หรือไม่ เพราะการที่รัฐบาลปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำนั่นก็หมายถึงต้นทุนของภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้นตามด้วย โดยหากพิจารณาเบื้องต้นถึงภาระต้นทุนที่เอกชนต้องเพิ่มขึ้นต่อปี ดังนี้
สมมติว่ารัฐบาลเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำ 50 บาท ต่อวัน (โดยแรงงานที่รับค่าแรงขั้นต่ำมีประมาณ 5 ล้านคน) นั้นหมายความว่าต่อวันแล้วผู้ประกอบการต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเฉลี่ยต่อวันประมาณ 250 ล้านบาท และใน 1 เดือนจะต้องจ่าย 7,500 ล้านบาท หรือภาคเอกชนมีภาระค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าแรงสูงขึ้นปีละประมาณ 90,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นทันทีเช่นกัน และเมื่อต้นทุนของภาคธุรกิจเพิ่มขึ้น
สิ่งที่ตามมาคือ การเพิ่มขึ้นของระดับราคาสินค้า ที่เพิ่มขึ้นตามด้วยเช่นกัน ดังนั้นหากว่าต้นทุนที่เพิ่มขึ้นผลักให้ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นมากกว่ารายได้ทีเพิ่มขึ้น ก็จะทำให้ประชาชนแทนที่จะมีรายได้เพิ่มขึ้นกลับส่งผลให้รายได้ที่แท้จริงหรืออำนาจซื้อของประชาชนลลดลง โดยเฉพาะในช่วงที่ราคาน้ำมันมีแนวโน้มปรับตัวสูงเกินกว่า 100 ดอลลาร์ สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในช่วง 2 ปีข้างหน้า ซึ่งจะทำให้อัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นจากนโยบายดังกล่าวประมาณ 0.5%
ดังนั้นการใช้นโยบายการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ และเงินเดือนที่พรรคต่าง ๆ เสนอเป็นนโยบายของพรรคในการหาเสียงนั้น คงจะต้องพิจารณาถึงผลกระทบสุทธิที่จะเกิดขึ้นกับระบบเศรษฐกิจอย่างแท้จริง
ทั้งนี้เนื่องจากเป้าหมายของการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศนั้น คือ การสร้างความเจริญเติบโตที่ยั่งยืน (Sustainable growth) โดยการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เพื่อให้ประเทศไทยมีความสามารถในการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น (Competitiveness) ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ การลดต้นทุนหรือการสร้างประสิทธิภาพของต้นทุนการผลิตที่ดีขึ้นด้วย เพื่อรองรับอนาคตอันใกล้นี้ที่ประเทศไทยจะต้องเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
อย่างไรก็ตามภาคเอกชน ก็เห็นด้วยกับนโยบายพรรคการเมืองหลายๆ พรรคที่ได้ออกมานำเสนอนโยบายในการปรับขึ้นค่าจ้างสำหรับแรงงาน แต่สิ่งที่ภาคเอกชนต้องการหากรัฐบาลมีการดำเนินนโยบายดังกล่าว ก็คือ
1. ควรมีการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน หรือเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต (productivity) ของแรงงานให้สูงขึ้นคุ้มกับค่าแรง โดยการศึกษาในระบบและการศึกษานอกระบบ ทั้งนี้ ในระยะสั้นควรส่งเสริมให้แรงงานมีการพัฒนาทักษะฝีมือขั้นต้น ผ่านสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานของภาครัฐ
หรือให้สถานประกอบการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานได้เองหรือส่งไปอบรมพัฒนาฝีมือกับหน่วยงานภายนอกโดยสามารถนำค่าใช้จ่ายไปลดหย่อนภาษีได้ 3 - 4 เท่าเพื่อยกระดับการพัฒนาฝีมือแรงงงานทั้งประเทศ นอกจากนี้ควรมีใบประกาศต่างๆ เมื่อแรงงานได้มีการผ่านการอบรมหรือสร้างทักษะในการทำงาน เพื่อใช้เป็นมาตรฐานในการให้ผลตอบแทนจากการมีทักษะเฉพาะทางที่มากขึ้น
โดยการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำนั้น ขอให้สอดคล้องกับความเห็นชอบของคณะกรรมการไตรภาคี ส่วนการขึ้นค่าแรงตามทักษะฝีมือแรงงาน หรือเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต (productivity) ของแรงงาน นั้น ก็ขอให้เป็นไปตามแนวทางการปรับค่าแรงตามคุณวุฒิวิชาชีพ 11 กลุ่มวิชาชีพ ที่ทาง กกร. โดยคุณสมพงศ์ นครศรี รองประธานอาวุโส สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กำลังดำเนินการอยู่
2. การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำนั้น จำเป็นที่รัฐบาลจะต้องค่อย ๆ ปรับให้เป็นไปตามกลไกราคาตลาด เพื่อที่ภาคเอกชนจะสามารถปรับตัวรับกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เพราะหากว่ารัฐบาลปรับขึ้นทันที อาจทำให้ภาคเอกชนไม่สามารถที่จะปรับตัวและรับกับต้นทุนดังกล่าวที่สูงขึ้นได้ นอกจากนั้นแล้ว การขึ้นค่าจ้างที่เร็วเกินไปและในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสมนั้น อาจก่อให้เกิดการชะลอตัวของการเข้ามาลงทุนของต่างประเทศในไทย เพราะค่าจ้างถือเป็นปัจจัยหนึ่งในการตัดสินใจในการลงทุน
3. การสร้างโอกาสในการแข่งขันให้กับภาคเอกชน เช่น การลดภาษีนิติบุคคลโดยเฉพาะสำหรับสถานประกอบการที่มีแรงงานจำนวนมากหรือในสัดส่วนที่สูงในกระบวนการผลิต ประกอบกับการปรับลดต้นทุนด้าน logisitics ผ่านการสร้างระบบ logisitics ที่มีประสิทธิภาพ เป็นต้น
4. การปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างจริงจังและปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบต่างๆ เพื่อลดต้นทุนของผู้ประกอบการ
ซึ่งทั้ง 4 ข้อนี้ ทางหอการค้าไทยเห็นว่าเป็นแนวทางที่เป็นไปได้หากพรรคการเมืองที่เข้ามาเป็นรัฐบาลจะดำเนินการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ ตามแต่ละพรรคที่ทำการเสนอ และจะเป็นการสร้างสมดุลระหว่างนายจ้างและลูกจ้างได้
อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ คงจะต้องมีการปรึกษาหารือกันอย่างเต็มที่เมื่อจะดำเนินการกันอย่างจริงจัง เพราะคงต้องมีการเข้าไปพูดคุยในการประชุมไตรภาคีทั้งตัวแทนฝ่ายลูกจ้าง นายจ้างและภาครัฐ เพราะหากมีการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำขึ้น โดยไม่พิจารณาให้รอบคอบจะส่งผลกระทบอย่างมาก ต่อเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ รวมทั้งเป้าหมายที่ประเทศไทยต้องการจะเป็น คือ การเป็นศูนย์กลางการผลิต ศูนย์กลางด้านการค้า หรือแม้แต่ศูนย์กลางด้านบริการต่างๆ
ดังนั้นการปรับขึ้นค่าจ้างในเวลาที่เหมาะสม และค่อยๆ เป็นไปตามกลไกตลาดจึงถือเป็นแนวทางที่ดีที่สุด และรัฐบาลก็จำเป้นที่จะต้องสร้างประสิทธิภาพของแรงงานให้มีทักษะเฉพาะมากขึ้น เพื่อยกระดับแรงงานไทย และเพื่อความมีประสิทธิภาพของการผลิต
นอกจากนี้ ยังต้องพิจารณายกระดับรายได้ภาคเกษตร นอกเหนือจากผู้ใช้แรงงานให้มีรายได้สูงขึ้น ซึ่งจะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันด้านเศรษฐกิจฐานรากของประเทศในระยะยาว
ที่มา : หอการค้าไทย