จีเอ็ม เผยทำกำไรได้ 5 ไตรมาสติดต่อกัน ชี้ลูกค้าต้องการยานยนต์ประหยัดพลังงานมากขึ้น แถมยกระดับแบรนด์ให้แข็งแกร่งได้ทั่วโลก
จีเอ็ม เผยทำกำไรได้ 5 ไตรมาสติดต่อกัน ชี้ลูกค้าต้องการยานยนต์ประหยัดพลังงานมากขึ้น แถมยกระดับแบรนด์ให้แข็งแกร่งได้ทั่วโลก
เจนเนอรัล มอเตอร์ส ประกาศผลประกอบการกำไรสุทธิส่วนของผู้ถือหุ้นสามัญในไตรมาสแรกอยู่ที่ 3,200 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1.77 เหรียญสหรัฐต่อหุ้นปรับลด ซึ่งนับเป็นการสร้างผลกำไรได้เป็นไตรมาสที่ 5 ติดต่อกันของจีเอ็ม ขณะที่รายได้สามเดือนแรกของปีนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 4,700 ล้านเหรียญสหรัฐ ไปอยู่ที่ 36,200 ล้านเหรียญสหรัฐ
“เราดำเนินงานได้ตามแผนงานที่วางไว้" แดน เอเคอร์สัน ประธานใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าว "จีเอ็ม มีผลกำไรเป็นไตรมาสที่ 5 ติดต่อกัน อันเป็นผลจากความต้องการของลูกค้าที่มีต่อยานยนต์ประหยัดพลังงานของเราที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก รวมถึงโครงสร้างต้นทุนที่มีประสิทธิภาพที่เอื้อให้เราสามารถยกระดับแบรนด์ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นได้ทุกภูมิภาคทั่วโลก และมุ่งเน้นที่การสร้างผลกำไรจากการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์"
กำไรสุทธิส่วนของผู้ถือหุ้นสามัญ ยังเพิ่มขึ้น 1,600 ล้านเหรียญสหรัฐ และ 300 ล้านเหรียญสหรัฐ ตามลำดับ ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับการจำหน่ายหุ้นบุริมสิทธิ์ของเดลฟาย ออโตโมทีฟ แอลแอลพี และอัลลาย ไฟแนนเชียล ขณะเดียวกัน ยังรวมถึงการลดมูลค่าในบัญชีในส่วนของค่าความนิยมที่ไม่มีมูลค่าแล้ว (goodwill impairment charge) จำนวน 400 ล้านเหรียญสหรัฐของจีเอ็ม ยุโรป
ซึ่งเป็นไปตามการเปลี่ยนมาตรฐานการจัดการบัญชี และค่าใช้จ่ายของเจนเนอรัล มอเตอร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล โอเปอเรชั่นส์ อันเกิดจากการปรับเปลี่ยนกฎระเบียบด้านภาษีที่ส่งผลต่อการร่วมทุนการค้าของจีเอ็ม ในอินเดียจำนวน 100 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งรายการพิเศษเหล่านี้ เพิ่มกำไรสุทธิต่อหุ้นให้แก่ผู้ถือหุ้นสามัญเป็น 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 0.82 เหรียญสหรัฐ ต่อหุ้นปรับลด
ตัวเลข EBIT อยู่ที่ 3,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ยอด EBIT-adjusted อยู่ที่ 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นสูงกว่าไตรมาสแรกของปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ 1,700 ล้านเหรียญสหรัฐ
ผลประกอบการของจีเอ็มโดยรวม (หน่วยพันล้านเหรียญสหรัฐ ยกเว้นในส่วนของจำนวนต่อหุ้น)
ไตรมาสที่ 1 ปี 2553 | ไตรมาสที่ 1 ปี 2554 | |
รายได้ |
$31.5 |
$36.2 |
กำไรสุทธิส่วนของผู้ถือหุ้นสามัญ |
$0.9 |
$3.2 |
กําไรต่อหุ้นปรับลด |
$0.55 |
$1.77 |
EBIT |
$1.8 |
$3.5 |
รายการพิเศษ |
$0.1 |
$1.5 |
EBIT – adjusted |
$1.7 |
$2.0 |
ผลของรายการพิเศษที่มีต่อกําไรต่อหุ้นปรับลด |
$0.08 |
$0.82 |
กระแสเงินสดสุทธิจากการดำเนินงาน |
$1.9 |
$(0.6)* |
กระแสเงินสดที่เหลืออยู่หลังจากกิจกรรมต่างๆทางการค้าตามปกติ (ขาย จ่ายค่าใช้จ่าย ที่เป็นเงินสด) และหักกระแสเงินสดจ่ายจากการลงทุนแล้ว (free cash flow) |
$1.0 |
$(1.9)* |
*รวมส่วนของผลกระทบจำนวน 2.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันเนื่องมาจากการยกเลิกข้อตกลงทางการเงินล่วงหน้า
จีเอ็ม อเมริกาเหนือ (GMNA) ได้รายงานตัวเลข EBIT ของไตรมาสแรกในปีนี้ โดยมีตัวเลขอยู่ที่ 2.9 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อเทียบกับจำนวน 1.2 พันล้านเหรียญสหรัฐในช่วงเดียวกันของปี 2553 โดย ในส่วนของ EBIT-adjusted จีเอ็มเอ็นเอ สามารถทำรายได้สุทธิในไตรมาสแรกเพิ่มขึ้นถึง 1.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ จากเดิมที่ 0.1 พันล้านเหรียญสหรัฐเมื่อเทียบกับช่วงระยะเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้บริษัทฯ คาดการณ์ว่า EBIT-adjusted ของจีเอ็มเอ็นเอโดยเฉลี่ยในช่วงที่เหลือของปีนี้จะปรับตัวดีขึ้นได้มากกว่ารายได้สุทธิในไตรมาสแรกอันเนื่องมาจากปัจจัยบวกเรื่องราคาขายสินค้าและต้นทุนคงที่ที่ปรับตัวดีขึ้นมีมากกว่าปัจจัยลบทางด้านต้นของทุนโภคภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น รวมไปถึงปัจจัยลบอื่นๆ
โดย จีเอ็มอี ได้รายงานตัวเลข EBIT ที่ 0.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ผลของ EBIT-adjusted ของจีเอ็มอี ปรับตัวสูงขึ้น 0.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อเทียบกับในช่วงไตรมาสแรกของปี 2553 และสามารถเข้าสู่ก้าวย่างที่สำคัญอย่างยิ่งด้วยการมีผลประกอบการ ณ จุดคุ้มทุน ซึ่งตามแผนธุรกิจปัจจุบัน จีเอ็มอี ได้ตั้งเป้าที่จะบรรลุจุดสมดุลทางธุรกิจของ EBIT-adjusted ก่อนปรับโครงสร้างปีนี้
ทางด้าน จีเอ็มไอโอ ก็ได้รายงานตัวเลข EBIT ที่ 0.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ เทียบกับจำนวน 0.9 พันล้านเหรียญสหรัฐในช่วงไตรมาสแรกของปี 2553 โดยหลังจากปรับ EBIT-adjusted แล้ว จีเอ็มโอมีรายรับรวมอยู่ที่ 0.6 พันล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาสแรก ซึ่งลดลง 0.3 พันล้านเหรียญสหรัฐเมื่อเทียบกับช่วงระยะเวลาเดียวกันในปี 2553
จีเอ็ม อเมริกาใต้ รายงานตัวเลข EBIT ที่ 0.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งลดลง 0.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสแรกของปี 2553 ทั้งนี้ไม่มีรายงานปรับลดเพิ่มรายรับรายจ่ายด้านอื่นๆแต่อย่างใด
ทั้งนี้ จีเอ็ม คาดว่าตัวเลข EBIT-adjusted ของทั้งปี 2554 จะดีขึ้นกว่าปี 2553 อย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้จีเอ็มยังคงการคาดการณ์ว่าผลกำไรสุทธิทั้งปีของบริษัทฯ จะยังคงไม่ได้รับผลกระทบร้ายแรงใดๆอันเนื่องมาจากวิกฤตการณ์ในญี่ปุ่น
สำหรับไตรมาสนี้ กระแสเงินสดของอุตสาหกรรมรถยนต์จากการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ มีมูลค่า 0.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่กระแสเงินสดที่เหลืออยู่หลังจากกิจกรรมต่าง ๆ ทางการค้าตามปกติ และหักกระแสเงินสดจ่ายจากการลงทุนแล้ว มีมูลค่า 1.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งตัวเลขทั้งสองได้รวมผลกระทบจำนวน 2.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ จากประกาศด้านการตัดสินใจทางการเงินเมื่อเดือนตุลาคม 2553 ที่ผ่านมา อันเนื่องมาจากการยกเลิกข้อตกลงทางการเงินการขายส่งล่วงหน้ากับบริษัททางการเงินอัลลี่ (Ally)
จีเอ็มสามารถดำเนินธุรกิจและจบไตรมาสแรกได้อย่างสวยงาม จากสภาพคล่องทางการเงินที่แข็งแกร่งด้วยมูลค่ารวมทั้งหมด 36.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ อีกทั้งเงินสดและหลักทรัพย์ในความต้องการของตลาดในไตรมาสนี้มีมูลค่าถึง 30.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับสถิติของไตรมาสสุดท้ายเมื่อปีที่ผ่านมาที่มีมูลค่า 27.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ
“จีเอ็มได้แสดงศักยภาพของการเติบโตทางธุรกิจอย่างยอดเยี่ยมในการสร้างผลกำไรของบริษัทฯ ในทุกประเทศทั่วโลก อันแสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง” มร. แดน อัมมาน รองประธานอาวุโสและประธานเจ้าหน้าที่ด้านการเงินกล่าวพร้อมเสริมว่า “ในขณะที่เราได้รับการสนับสนุนและให้กำลังใจจากทุกฝ่าย เราตระหนักดีกว่าเรามีโอกาสในการยกระดับขนาดธุรกิจของเรามากขึ้น ตลอดจนพัฒนาประสิทธิภาพด้านการใช้จ่ายและลงทุน รวมถึงการรักษาสภาพงบดุลของเราอย่างเหมาะสมอีกด้วย”