ราชบุรีโฮลดิ้ง ทุ่ม 6,700 ล้านบาทเสนอซื้อหุ้นกองทุนพลังงาน TSIF ในออสเตรเลีย ดันกำลังการผลิตเติบโตเพิ่มขึ้นเป็น 6,100 เมกะวัตต์ คาดแล้วเสร็จไตรมาส 2 ปีนี้
ราชบุรีโฮลดิ้ง ทุ่ม 6,700 ล้านบาทเสนอซื้อหุ้นกองทุนพลังงาน TSIF ในออสเตรเลีย ดันกำลังการผลิตเติบโตเพิ่มขึ้นเป็น 6,100 เมกะวัตต์ คาดแล้วเสร็จไตรมาส 2 ปีนี้ เป็นการลงทุนผ่านบริษัท อาร์เอช อินเตอร์เนชั่นแนล (สิงคโปร์) คอร์ปอเรชั่น ซึ่งเป็นบริษัทย่อย โดยได้ลงนามเข้าซื้อหุ้นTSIF กับ บริษัท Transfield Services Limited บริษัทฯ จะเข้าถือหุ้นในกองทุน TSIF ร้อยละ 56.16
การเข้าซื้อหุ้นดังกล่าวจะดำเนินการได้หลังผ่านกระบวนการซื้อกิจการ (Scheme of Arrangement) ตามกฎหมายของออสเตรเลีย ซึ่งต้องได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุม ผู้ถือหุ้นของ TSIF และคำสั่งของศาลออสเตรเลีย คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 2/2554 ภายหลังจากบรรลุข้อตกลงต่างๆ แล้ว
วันนี้ บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า บริษัท อาร์เอช อินเตอร์เนชั่นแนล (สิงคโปร์) คอร์ปอเรชั่น จำกัด (RHIS) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่จดทะเบียนจัดตั้งในประเทศสิงคโปร์ ได้ลงนามในข้อตกลงการเข้าซื้อหุ้นกิจการของกองทุน Transfield Services Infrastructure Fund (TSIF) กับบริษัท Transfield Services Limited (TSE) มูลค่าการลงทุนประมาณ 6,700 ล้านบาท การเข้าซื้อกิจการ TSIF จะส่งผลให้กำลังผลิตรวมจากโครงการที่บริษัทได้ลงทุนแล้ว รวมทั้งสิ้น 6,100 เมกะวัตต์
ทั้งนี้ RHIS จะเข้าซื้อหุ้นของ TSIF จำนวน 246,396,090 หุ้น ในสัดส่วนร้อยละ 56.16 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ราคาหุ้นละ 0.85 เหรียญออสเตรเลีย รวมจำนวนเงินทั้งสิ้น 209.44 ล้านเหรียญออสเตรเลีย (ประมาณ 6,702 ล้านบาท) หากราคาซื้อขายหุ้นและเงื่อนไขต่างๆ เป็นไปตามข้อตกลง บริษัทฯ จะพิจารณาซื้อหุ้นเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ การเข้าซื้อหุ้นดังกล่าวจะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อ TSE จะต้องดำเนินการตามกระบวนการซื้อกิจการ (Scheme of Arrangement) ตามกฎหมายของประเทศออสเตรเลีย ซึ่งจะต้องได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นของ TSIF และคำสั่งของศาลออสเตรเลียให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 2 ปี 2554
นายนพพล มิลินทางกูร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ข้อเสนอเข้าซื้อหุ้น TSIF ครั้งนี้สะท้อนกลยุทธ์สร้างความเติบโตของบริษัท ซึ่งเราพยายามมองหาลู่ทางขยายธุรกิจในต่างประเทศ และตามแผนการลงทุนของบริษัทฯมีออสเตรเลียเป็นเป้าหมายด้วย
เราได้ศึกษาข้อมูลและความเสี่ยงอย่างละเอียดรอบคอบก่อนตัดสินใจเสนอซื้อหุ้น TSIF เพราะเรามองเห็นว่า ไม่เพียง TSIF จะมีพอร์ตสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนอันสมเหตุสมผลแล้ว ยังมี TSE ที่จะเป็นพันธมิตรของเราในออสเตรเลียเพราะด้วยความรู้ความเชี่ยวชาญ
โดยเฉพาะการลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคต่าง ๆ จะทำให้เรามีศักยภาพการลงทุนที่ดียิ่งขึ้น และยังมีลู่ทางพัฒนาธุรกิจใหม่ๆ ในประเทศออสเตรเลียด้วย การลงทุนครั้งนี้จะใช้เงินสดคงเหลือของบริษัท เงินทุนหมุนเวียน และหรือเงินกู้จากสถาบันการเงินบางส่วน ปัจจุบันเรามีเงินสดในมือประมาณ 10,000 ล้านบาท
สำหรับ TSIF เป็นกองทุนด้านพลังงานและสาธารณูปโภคในประเทศออสเตรเลียมีสินทรัพย์ประกอบด้วย โรงไฟฟ้า และโรงกรองน้ำ ซึ่งดำเนินงานอยู่ในรัฐต่างๆ ทั่วประเทศออสเตรเลีย เชื้อเพลิงที่ใช้ในโรงไฟฟ้ามีความหลากหลาย ได้แก่ ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน และพลังงานลม มีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 1,126 เมกะวัตต์ ส่วนโรงกรองน้ำมีกำลังการผลิตน้ำรวมเฉลี่ยประมาณ 210,000 ลิตรต่อวัน สินทรัพย์ประเภทโรงไฟฟ้าของTSIF ร้อยละ 90 มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่ยังมีระยะเวลาคงเหลือเฉลี่ยประมาณ 11 ปี
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2553 TSIF มีทุนจดทะเบียนจำนวน 149,987,000 เหรียญออสเตรเลีย ทุนที่ออกและชำระแล้ว 149,987,000 เหรียญออสเตรเลีย ฐานะการเงิน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2553 TSIF มีสินทรัพย์รวม 1,028.459 ล้านเหรียญออสเตรเลีย หนี้สินรวม 589.977 ล้านเหรียญออสเตรเลีย และส่วนของผู้ถือหุ้น 438.482 ล้านเหรียญออสเตรเลีย ส่วนผลการดำเนินงานของ TSIF ในช่วงเดือนมิถุนายน –ธันวาคม 2553 มีรายได้รวม 65.698 ล้านเหรียญออสเตรเลีย และกำไรสุทธิ 18.078 ล้านเหรียญออสเตรเลีย
"บริษัทฯ มั่นใจว่า ราคาที่เสนอซื้อมีความเหมาะสมเพราะบริษัทฯ ได้พิจารณาจากการประเมินมูลค่าหุ้นตามบัญชี Equity Value ผลตอบแทนการลงทุน (EIRR) พิจารณาโอกาสการเติบโตทางธุรกิจของTSIF โครงสร้างทางภาษีที่มีผลต่อการลงทุนของบริษัทฯ โครงสร้างราคาค่าไฟฟ้าในอนาคต มูลค่าสินทรัพย์ของ TSIF รวมทั้งประเมินความเสี่ยงซึ่งอยู่ในระดับที่เรายอมรับได้
ทั้งนี้ TSIF เป็นกองทุนด้านพลังงานและสาธารณูปโภค ซึ่งสอดคล้องกับธุรกิจหลักของบริษัทฯ และ กิจการส่วนใหญ่มีสัญญาการซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว ซึ่งบริษัทฯ จะสามารถประมาณการรายได้และรับรู้รายได้ตามสัดส่วนการลงทุนได้ทันที ตลอดจนยังมีโอกาสเพิ่มมูลค่าจากการขยายกิจการในอนาคตด้วย” นายนพพล กล่าวปิดท้าย