เนื้อหาวันที่ : 2011-03-31 15:28:53 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1980 views

ผู้เชี่ยวชาญชี้ตลาดหุ้นไทยแกร่งธุรกิจยังเข้มแข็งแนะกระจายการลงทุน

ผู้เชี่ยวชาญแวดวงตลาดเงินตลาดทุน คาดเงินทุนต่างชาติจะแห่เข้าลงทุนในเอเชียต่อเนื่อง มองตลาดหุ้นไทยและบริษัทจดทะเบียนยังแกร่งแนะนักลงทุนกระจายการลงทุนในสินค้าที่หลากหลาย

ผู้เชี่ยวชาญแวดวงตลาดเงินตลาดทุน คาดเงินทุนต่างชาติจะแห่เข้าลงทุนในเอเชียต่อเนื่อง มองตลาดหุ้นไทยและบริษัทจดทะเบียนยังแกร่งแนะนักลงทุนกระจายการลงทุนในสินค้าที่หลากหลาย

ผู้เชี่ยวชาญแวดวงตลาดเงินตลาดทุนแลกเปลี่ยนมุมมองบนเวทีสัมมนาในงาน SET in the City สัญจรจังหวัดอุบลราชธานี จัดโดย ตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วมกับจังหวัดอุบลราชธานี หอการค้า สภาอุตสาหกรรม ชมรมสถาบันการเงิน จ. อุบลราชธานี เมื่อปลายเดือน มี.ค. ซึ่งชาวอุบลและจังหวัดใกล้เคียงร่วมฟังทิศทางเศรษฐกิจและการลงทุนอย่างคับคั่ง ผู้เชี่ยวชาญต่างวิเคราะห์ว่า ตลาดหุ้นไทยยังน่าสนใจ และบจ. ไทยมีความเข้มแข็ง

ประกอบกับการที่ผู้ลงทุนทั่วโลกมุ่งหาแหล่งลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดี จึงคาดเม็ดเงินต่างชาติจะเข้าลงทุนในเอเชียต่อเนื่อง พร้อมได้ปัจจัยบวกจากการลงทุนที่ขยายตัวสูง พร้อมแนะผู้ลงทุนกระจายการลงทุนผ่านสินค้าหลากหลาย

ภายในงาน SET in the City สัญจรจังหวัดอุบลราชธานี มีการจัดสัมมนาให้ข้อมูลด้านเศรษฐกิจและการลงทุน 2 หัวข้อ ได้แก่ หัวข้อ “จับทางเศรษฐกิจ จับทิศหุ้น รับไตรมาส 2” และ “เลือกหุ้นตัวไหน ลงทุนทองอย่างไร ซื้อกองทุนเมื่อไหร่ ให้รวย” โดยสัมมนาในหัวข้อ “จับทางเศรษฐกิจ จับทิศหุ้น รับไตรมาส 2” มีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจและตลาดทุน 3 ท่าน คือ 1) คุณมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. บล. กิมเอ็ง (ประเทศไทย) 2) ดร.สันติ กีระนันทน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทริส คอร์ปอเรชั่น จำกัด และ 3) ดร.ยรรยง ไทยเจริญ ผู้บริหารกลุ่มยุทธศาสตร์องค์กร ธนาคารแห่งประเทศไทย

คุณมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. บล. กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ให้มุมมองว่า ตลาดหุ้นไทยยังคงมีความน่าสนใจและเข้มแข็งแม้จะประสบปัญหาต่างๆ บ้างในไตรมาส 1 ขณะที่ภัยธรรมชาติในญี่ปุ่นจะส่งผลดีต่อบางอุตสาหกรรมเช่นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ เช่นน้ำมัน ถ่านหิน ซึ่งจะส่งผลให้มีการปรับราคาที่เพิ่มสูงขึ้น แนะนักลงทุนควรลงทุนในหุ้นเพียงร้อยละ 65 – 70 ของพอร์ตการลงทุนและถือเงินสดไว้บางส่วนด้วย นอกจากนี้ยังมองว่าการเลือกตั้ง น่าจะทำให้แนวโน้มความขัดแย้งในสังคมมีระดับลดน้อยลงซึ่งมีส่วนสร้างบรรยากาศในการลงทุน

ดร.สันติ กีระนันทน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทริส คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า โดยเฉลี่ยบริษัทจดทะเบียนไทยยังมีความเข้มแข็งมากกว่าในอดีต เห็นได้จากอันดับความน่าเชื่อถือ ซึ่งปัจจุบันอันดับความน่าเชื่อถือโดยเฉลี่ย อยู่ที่ระดับ A สูงกว่าเมื่อเทียบกับ 5 ปีที่แล้ว ซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ BBB และในปี 2553 ที่ผ่านมา ทริส ไม่มีการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทลงเลย แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเศรษฐกิจยังดีและบริษัทมีพื้นฐานที่ดี

ดร.ยรรยง ไทยเจริญ ผู้บริหารกลุ่มยุทธศาสตร์องค์กร ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจของไทยปี 2554 แม้จะไม่เติบโตเท่ากับปีที่ผ่านมา แต่การลงทุนยังคงขยายตัวสูง การว่างงานอยู่ในระดับต่ำเพียงร้อยละ 1 หนี้สาธารณะเพียงร้อยละ 43 ของ GDP ซึ่งอยู่ในระดับที่ยอมรับได้

ขณะที่สหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น หนี้สาธารณะสูงกว่าร้อยละ 100 ของ GDP โดยเงินเฟ้อ เป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวังมากกว่าเรื่องการขยายตัวของเศรษฐกิจ ธนาคารแห่งประเทศไทย จึงทยอยปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นตามความเหมาะสม สำหรับ พ.ร.บ. สถาบันคุ้มครองเงินฝากซึ่งมีผลบังคับใช้แล้วนั้น ทำให้ผู้ออมมีการปรับตัวอย่างง่ายๆ ด้วยการกระจายการฝากเงินกับธนาคารต่างๆ และเริ่มมองหาทางเลือกการลงทุนที่มีอยู่ในปัจจุบันมากขึ้น เช่น หุ้น กองทุน ตราสารหนี้ และทองคำ ซึ่งจะช่วยให้รักษามูลค่าของเงินได้ดีกว่าการฝากเงิน

สำหรับการสัมมนา “เลือกหุ้นตัวไหน ลงทุนทองอย่างไร ซื้อกองทุนเมื่อไหร่ ให้รวย” ซึ่งมีวิทยากรประกอบด้วย 1) คุณวรวรรณ ธาราภูมิ นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน 2) คุณธนรัชต์ พสวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด และ 3) คุณสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนลูกค้าบุคคล บล.ไทยพาณิชย์

คุณวรวรรณ ธาราภูมิ นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน ให้มุมมองว่า ปีนี้เม็ดเงินลงทุนของต่างชาติน่าจะไหลเข้ามาในเอเชียตะวันออกอย่างแน่นอนเพราะทั่วโลกยังมีปัญหาอยู่ สหรัฐ ยุโรป ยังไม่มีสัญญาณการฟื้นตัวแบบมั่นคง ขณะที่ตะวันออกกลาง ญี่ปุ่นและเกาหลี ล้วนมีปัญหาต่างๆ รุมเร้า การทยอยลงทุนจึงเป็นโอกาสดี

ซึ่งการลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน หรือ Dollar Cost Average จะทำให้มีโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีขึ้น และควรกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงด้วย ส่วนกองทุนประเภท Target Fund หรือ Trigger Fund ซึ่งเป็นการกำหนดเป้าหมายการลงทุนที่ออกมา ค่อนข้างมาก อาจได้ผลตอบแทนตามที่กำหนดไว้ค่อนข้างยาก เนื่องจากความผันผวนของสภาวกาณ์ค่อนข้างสูง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้เข้าใจถ่องแท้ก่อนตัดสินใจลงทุน

 คุณธนรัชต์ พสวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด กล่าวว่า การลงทุนในทองคำในช่วงนี้ต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษ โดยกรอบราคาที่น่าสนใจลงทุนคือประมาณ 1,400-1,430 ดอลล่าร์สหรัฐต่อออนซ์ โดยมีเป้าหมายที่ระดับ 1,550 ดอลล่าร์สหรัฐต่อออนซ์ และแนะนำถือครองทองคำเพียงร้อยละ 20 ของพอร์ตการลงทุน

ส่วนภัยพิบัติในญี่ปุ่น ในระยะสั้นเป็นผลลบต่อทองคำ เพราะอาจต้องการใช้เงินสดในการปรับปรุงประเทศและเทขายทองคำ เหตุการณ์ในลิเบีย และตะวันออกกลางจะเป็นผลบวกต่อราคาทองคำ เพราะผู้ลงทุนต้องการสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ส่วนการขยายเวลาการซื้อขายอนุพันธ์ ซึ่งจะเริ่ม 20 มิ.ย.2554 นี้ เป็นผลดีต่อผู้ลงทุนเพราะผู้ลงทุนจะได้มีโอกาสปรับสถานะการลงทุนได้ทันต่อความผันผวนและสภาวการณ์ของตลาดโลก

คุณสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนลูกค้าบุคคล บล.ไทยพาณิชย์ มองว่าเม็ดเงินลงทุนของต่างชาติน่าจะกลับเข้าเอเชียในช่วงครึ่งปีหลัง และจะส่งผลให้ทำให้ค่าเงินบาทอาจอยู่ที่ระดับ 30 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐหรืออาจต่ำกว่านั้น ส่วนราคาน้ำมัน หากราคาเกินกว่า 130 ดอลล่าร์สหรัฐต่อบาร์เรล ควรลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้น ส่วนปัจจัยภายในประเทศต้องติดตามผลการเลือกตั้งหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนักจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้น แนะผู้ลงทุนใช้กลยุทธ์ Trading ซื้อเมื่ออ่อนตัวแล้วขายเมื่อปรับตัวขึ้น

โดยมองว่า กลุ่มโรงกลั่นน้ำมัน น่าจะได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น มากกว่ากลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ พร้อมคาดการณ์ไตรมาสที่ 2 กลุ่มค้าปลีกและสื่อบันเทิงจะได้ประโยชน์จากการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น ส่วนไตรมาสที่ 3 ต้องติดตามนโยบายการอัดฉีดเม็ดเงิน (Quantitative easing) เข้ามาในระบบของสหรัฐอเมริกา หาก FED หรือธนาคารกลางของสหรัฐ เอาเงินออกจากระบบจะส่งผลลบต่อตลาดหุ้นทันที เพราะสภาพคล่องจะหายไป ซึ่งผู้ลงทุนต้องติดตามสถานการณ์ต่อไป