เนื้อหาวันที่ : 2011-03-09 14:17:45 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1419 views

สศอ.ปลื้ม GDP-MPI ปี 53 จบสวยสร้างสถิติในรอบกว่า 10 ปี

สศอ. คุยโวอุตฯไทยแข็งแกร่ง GDP-MPI ทำสถิติขยายตัวสูงสุดในรอบ 16 ปีและ 10 ปี รับอานิสงส์เศรษฐกิจโลก-ไทยฟื้น เชื่อนักลงทุนมั่นใจพร้อมอัดเงินเข้าระบบ

สศอ. คุยโวอุตฯไทยแข็งแกร่ง GDP-MPI ทำสถิติขยายตัวสูงสุดในรอบ 16 ปีและ 10 ปี รับอานิสงส์เศรษฐกิจโลก-ไทยฟื้น เชื่อนักลงทุนมั่นใจพร้อมอัดเงินเข้าระบบ

ภาคอุตฯปี 53 สร้างสถิติใหม่ทั้ง GDP-MPI ขยายตัว13.9%และ 14.4% ตามลำดับ ชี้อุตฯไทยของจริง เป็นฐานการผลิตที่แข็งแกร่ง การส่งออกรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ขยายตัวครั้งมโหฬาร ขณะที่ MPI เดือน ม.ค.ไม่น้อยหน้า ขยายตัว 3.7% กำลังการผลิตสูง 62.13%

นางสุทธินีย์ พู่ผกา ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ภาคการผลิตอุตสาหกรรมในปี 2553 มีอัตราการขยายตัวที่ถือว่าดีมาก โดย GDP ภาคอุตสาหกรรมขยายตัวได้สูงถึง 13.9% เป็นสถิติสูงสุดใหม่ในรอบ 16 ปีนับจากปี 2537 (Q1 22.9%Q2 17.6%,Q3 11.6%และQ4 4.8%) ซึ่งเป็นผลมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกอย่างมีเสถียรภาพ

รวมทั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ที่การลงทุนภาครัฐมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนอัตราการขยายตัว ขณะที่ภาคเอกชนเริ่มมีความเชื่อมั่นมากขึ้นและพร้อมอัดฉีดเม็ดเงินลงทุนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้อัตราการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมไทย ปี 2554 เป็นไปในทิศทางที่ดีอย่างต่อเนื่อง

เช่นเดียวกันกับ อัตราการขยายตัวของดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม หรือ MPI ขยายตัวได้สูงถึง 14.4% เป็นสถิติสูงสุดในรอบ 10 ปี นับจากปี 2543 ที่ สศอ.เริ่มจัดทำ MPI ขณะที่อัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ 63.3% เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับ MPI ปัจจัยหลักมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และปัจจัยภายในประเทศที่ได้รับแรงกระตุ้นจากการใช้จ่ายภาคครัวเรือน การลงทุน และการใช้จ่ายของภาครัฐ

ในปี 2553 การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม (ไม่รวมทองคำ) ขยายตัวได้ได้สูงถึง 29.7% ซึ่ง อุตฯ หลักที่สำคัญ 3 อันดับแรก ประกอบด้วย ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ที่ขยายตัว 55.2% 32.4% และ 21.9% ตามลำดับ นอกจากนี้หากพิจารณาการนำเข้าสินค้าทุนและวัตถุดิบ ที่มีการขยายตัว 29.8% และ 44.4% จะเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงภาพบวกของการลงทุนการผลิตที่สูงขึ้นนั่นเอง

นางสุทธินีย์ กล่าวว่า ในปี 2554 อัตราการขยายตัวของ GDP ภาคอุตสาหกรรม และ MPI จะขยายตัวอยู่ที่ 5.5-6.5% และ 6.0-8.0% ตามลำดับ ส่วนอัตราการใช้กำลังการผลิตจะอยู่ที่ 64.0-66.0% โดย สศอ.ยังคงคาดการณ์นี้ไว้เท่ากับที่ได้เคยประเมินในช่วงปลายปี 2553

เนื่องจากภาพรวมของภาคอุตสาหกรรมยังคงขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะการผลิตเพื่อการส่งออกในหมวดสินค้าสำคัญ เช่น ยานยนต์ Hard disk drive เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น โดยปัจจัยบวกที่ส่งผลต่อการขยายตัวได้แก่ เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวชัดเจน รวมทั้งการย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทย จะกระตุ้นให้เกิดการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง 

อย่างไรก็ตาม สศอ. ยังได้ประเมินปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวที่สำคัญได้แก่ ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นจากค่าแรงที่สูงขึ้น ขณะที่ต้นทุนพลังงานและวัตถุดิบมีแนวโน้มสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาโดมิโน่การโค่นล้มผู้นำประเทศในแถบตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ จะส่งผลต่อราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่พุ่งสูงและมีความผันผวน

ซึ่งปัจจัยนี้อาจจะส่งผลกระทบต่อการค้าการลงทุนที่มีระหว่างกัน ซึ่งในปี 2553 ประเทศไทยมีการค้าการส่งออกไปยังประเทศแถบตะวันออกกลางและแอฟริกาในสัดส่วน 8.5% ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 5.1 แสนล้านบาท

นอกจากนี้ นางสุทธินีย์ ได้สรุปตัวเลข MPI เดือนมกราคม 2554 ว่า MPI เดือน ม.ค.ขยายตัวเพิ่มขึ้น 3.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยอัตราการใช้กำลังการผลิต 62.13% อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ MPI เดือน ม.ค.เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ที่สำคัญได้แก่ การผลิตยานยนต์ หลอดอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องปรับอากาศ เป็นต้น ขณะที่การผลิต Hard disk drive เบียร์ ลดลงเล็กน้อย

การผลิตรถยนต์  เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การผลิตและจำหน่ายรถยนต์เพิ่มขึ้น 20.7% และ 18.6%ตามลำดับ ซึ่งเป็นผลมาจากเศรษฐกิจของโลกและของประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น สำหรับตลาดภายในประเทศได้รับผลดีจากค่ายรถยนต์ต่างมีการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ออกมาเสนอเพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภค โดยเฉพาะรถยนต์ภายใต้โครงการอีโคคาร์ ที่ออกมากระตุ้นตลาดทำให้ตลาดรถยนต์คึกคักเป็นอย่างยิ่ง

ส่งผลให้การจำหน่ายรถยนต์นั่งขนาดเครื่องยนต์ไม่เกิน 1800 c.c.เพิ่มสูงขึ้นถึง 61.2% ขณะเดียวกันจากปัจจัยราคาพืชผลทางการเกษตรที่ปรับตัวดีขึ้นส่งผลต่อยอดการจำหน่ายรถกะบะขนาด 1ตัน เพิ่มขึ้นถึง 17.6% จากปีก่อน และยังคาดว่าในปี 2554 นี้ ปัจจัยราคายางพาราที่พุ่งสูงขึ้น จะส่งผลให้เกษตรกรชาวสวนยางใหม่ โดยเฉพาะทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีกำลังซื้อมากขึ้นจึงส่งผลต่อยอดการจำหน่ายรถกะบะที่สูงขึ้นอย่างมาก

การผลิตหลอดอิเล็กทรอนิกส์ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การผลิตและจำหน่ายเพิ่มขึ้น 18% และ 19% ตามลำดับ เนื่องจากตลาดโลกยังมีความต้องการสินค้าในกลุ่มนี้ค่อนข้างสูง ประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตเพื่อการส่งออกที่สำคัญจึงได้รับคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยสินค้าที่สำคัญในกลุ่มนี้ได้แก่ Monolithic IC มีการผลิตและจำหน่าย เพิ่มขึ้น 21.95%และ 2.84% ตามลำดับ

การผลิตเครื่องปรับอากาศ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การผลิตและจำหน่ายเพิ่มขึ้น 27.2%และ31.4% ตามลำดับ เนื่องจากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวผู้ประกอบการได้ส่งสินค้ารุ่นใหม่ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นพัฒนาสินค้าที่มีคุณภาพประหยัดพลังงาน และรักษาสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ จึงได้รับคำสั่งซื้อเข้ามาจากสหรัฐอเมริกา และยุโรปอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งปัจจัยการเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดขึ้นหลายโครงการ โดยเฉพาะบริเวณที่มีการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายต่างๆ ส่งผลต่อยอดการผลิตและจำหน่ายเครื่องปรับอากาศที่สูงขึ้น

นางสุทธินีย์ สรุปภาพรวม MPI เดือนมกราคมคม 2554 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ดังนี้ ดัชนีผลผลิต (มูลค่าเพิ่ม) อยู่ที่ระดับ 186.30 เพิ่มขึ้น 3.70% จากระดับ 179.65 ดัชนีการส่งสินค้า อยู่ที่ระดับ 182.14 เพิ่มขึ้น 2.27% จากระดับ 178.10 ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลัง 187.07 เพิ่มขึ้น 4.47% จากระดับ 179.08 ดัชนีผลิตภาพแรงงานในภาคอุตสาหกรรม อยู่ที่ระดับ 152.44 เพิ่มขึ้น 10.18% จากระดับ 138.36 ขณะที่ดัชนีแรงงานในภาคอุตสาหกรรม อยู่ที่ระดับ 117.47 ลดลง -0.36% จากระดับ 117.90 โดยอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 62.13%

ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมและอัตราการใช้กำลังการผลิต

 

ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม