PYLON เดินหน้าขยายฐานงานแนวราบ พร้อมลุยทั้งรัฐ/เอกชนตุนงานในมือแล้ว 1,000 ลบ.
PYLON เดินหน้าขยายฐานงานแนวราบเพิ่ม หลังพบมีศักยภาพการรับงานสูง จากความพร้อมด้านเครื่องมือ บุคลากร เทคโนโลยี และฐานะการเงินแกร่ง หวังปลุกปั้นเติบโตควบคู่กับงานฐานราก ล่าสุดคว้างานปรับปรุงสถานีสูบน้ำและสร้างเขื่อน ค.ส.ล.คลองเลนเปน มูลค่า 320 ลบ.หนุน Backlog เฉพาะงานแนวราบทะลุ 500 ลบ. แล้วจากงาน 5 โครงการส่งผลให้ Backlog รวมงานฐานรากทะลุ 1,000 ลบ. สำเร็จ “ บดินทร์ แสงอารยะ-กุล” มั่นใจปีนี้ปั๊มรายได้ถึง 20% ของรายได้รวม PYLON ที่วางไว้ 1,000 ลบ.
นายบดินทร์ แสงอารยะกุล กรรมการรองผู้จัดการ บริษัท ไพลอน จำกัด (มหาชน) หรือ PYLON กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทฯ กำลังเดินหน้าขยายงานรับเหมาก่อสร้างประเภทแนวราบเพิ่มขึ้น จากเดิมที่งานรับเหมาส่วนใหญ่ของบริษัทฯ เป็นงานฐานราก หรืองานเสาเข็มเจาะ
หลังจากพบว่ามีงานใหม่ๆ เข้าสู่ตลาดมากขึ้น และบริษัทฯ มีความพร้อมเป็นอย่างมากในการรับงานดังกล่าวทั้งด้านเครื่องมือและอุปกรณ์ บุคลากรผู้เชี่ยวชาญ เทคโนโลยีในการก่อสร้างและฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ซึ่งที่ผ่านมาพบว่าได้รับการตอบรับจากเจ้าของโครงการเป็นอย่างดี โดยได้รับงานประมูลเข้ามาแล้วประมาณ 4-5 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 450-500 ล้านบาท
โดยล่าสุดบริษัทฯ ได้รับการยืนยันการจ้างงานก่อสร้างโครงการต่างๆ เพิ่มเติม จำนวน 1 โครงการ รวมเป็นเงิน 320 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ได้แก่ โครงการ งานปรับปรุงระบบระบายน้ำด้านใต้คลองภาษีเจริญถึงคลองสนามชัย (ปรับปรุงสถานีสูบน้ำและก่อสร้างเขื่อน ค.ส.ล. คลองเลนเปน) โดยมีผู้ว่าจ้างคือ สำนักการระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร มีระยะเวลาก่อสร้าง 720 วัน
“งานแนวราบเป็นงานที่เราตั้งใจจะขยายเพิ่มขึ้นในปีนี้เพิ่มเติมจากงานฐานรากที่เราทำอยู่ในปัจจุบัน เพราะเรามีเครื่องไม้เครื่องมือบางส่วนที่สามารถใช้ในงานแนวราบได้ มีความพร้อมทั้งเรื่องคน และเทคโนโลยี ที่สำคัญเราถือเป็นบริษัทฯ ที่มีฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง
ที่ผ่านมาจึงทำสามารถแข่งขันรับงานกับคู่แข่งได้อย่างคล่องตัว ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากเจ้าของโครงการ ได้รับงานประมูลมาแล้วมูลค่ารวมประมาณ 450-500 ลบ. และเชื่อว่าหลังจากนี้จะเริ่มมีงานอื่นๆ ไหลเข้าตลาดเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะงานจากภาครัฐ ซึ่งบริษัทฯ จะเข้าร่วมประมูลงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันให้ธุรกิจรับเหมาแนวราบเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
โดย ปัจจุบันงานแนวราบของบริษัทฯ มีสัดส่วนประมาณ 10-15% ของรายได้รวม และเชื่อว่าในปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 20% ของรายได้รวม ส่วนในอนาคต หากลูกค้าเพิ่มมากขึ้น โอกาสที่จะขยายสัดส่วนรายได้ให้เพิ่มขึ้นใกล้เคียงกับรับเหมาฐานรากก็มีโอกาสเป็นไปได้ แต่คงต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง”
นายบดินทร์ กล่าวต่อถึงแนวโน้มธุรกิจรับเหมาก่อสร้างงานฐานราก (เสาเข็มเจาะ) ว่า ปัจจุบันยังมีทิศทางการเติบโตอย่างโดดเด่น เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากงานก่อสร้างโครงการใหม่ๆ ทั้งจากภาครัฐ และภาคเอกชน โดยเฉพาะโครงการเมกะโปรเจ็กต่างๆ โดยผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2554 ของบริษัทฯ คาดว่าจะมีแนวโน้มที่ดีกว่าผลประกอบการในไตรมาส 4 ปี 2553 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นไตรมาสที่มีกำไรดีที่สุดของปี 2553
เนื่องจากมีโอกาสรับงานก่อสร้างใหม่ๆ หลายโครงการ รวมถึงทยอยรับรู้รายได้จากงานในมือ (Backlog) อย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันบริษัทมี Backlog ที่รอรับรู้เป็นรายได้ทั้งงานฐานรากและงานแนวราบประมาณ 1,000 ล้านบาท ส่วนเป้าหมายรายได้ในปีนี้กำหนดไว้ที่ 1,000 ล้านบาท
โดยจะพยายามรักษาการรับงานภาครัฐ ในสัดส่วนร้อยละ 50 และภาคเอกชนสัดส่วนร้อยละ50 หลังจากมีงานภาครัฐเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ที่คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในไตรมาส 2 ปี 2554 จากปัจจุบันที่สัดส่วนการรับงานภาคเอกชนอยู่ที่ร้อยละ 60 และงานภาครัฐร้อยละ 40