1. แรงงานไทยสดใส อัตราการว่างงานต่ำ
- สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยตัวเลขคาดการณ์ผู้ว่างงานในปี 54 อยู่ที่ 4.03 แสนคน หรือคิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ 1.0 โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ยังขาดแคลนแรงงานทั้งกลุ่มยานยนต์ ไฟฟ้า – อิเล็กทรอนิกส์ อาหารและสิ่งทอ ทั้งนี้จากการสำรวจธนาคารพาณิชย์ไทยถึงแนวโน้มทรัพยากรบุคคลในวงธนาคารในปีที่แล้วพบว่ามีการชะลอรับพนักงานใหม่และเมื่อต้นปี 54 ได้มีการนโยบายรับพนักงานเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับการขยายธรุกิจ
- สศค.วิเคราะห์ว่า จากการที่อัตราการว่างงานของไทยที่อยู่ในระดับต่ำ (ธ.ค. 53 อยู่ที่ร้อยละ 0.7 ต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์) ส่วนหนึ่งมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่องทำให้มีความต้องการแรงงานในภาคการผลิตที่เพิ่มขึ้น
ในส่วนของการขาดแคลแรงงานอุตสาหกรรมส่วนใหญ่เป็นการขาดแคลนแรงงานฝีมือล่าสุดการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมเดือน ธ.ค. 53 อยู่ที่ 7.1 ล้านคน ซึ่งลดลง 1.6 แสนคนเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหรือหดตัวร้อยละ -2.2 ในขณะที่สถาณการณ์แรงงานด้านการเงินการธนาคารล่าสุดเดือน ธ.ค. 53 หดตัวลงอยู่ที่ 9.2 หมื่นคนเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ทั้งนี้ สศค. คาดว่าอัตราการว่างงานในปี 54 อยู่ที่ร้อยละ 1.1 ช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 1.0 -1.2 หรือคิดเป็นผู้ว่างงาน 4.2 แสนคน (คาดการณ์ ณ ธ.ค. 53)
2. กรมธุรกิจพลังงานคาด 3 เดือนน้ำมันปาล์มน้ำมันเข้าสู่ภาวะปกติ
- อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กล่าวว่า สถานการณ์ปริมาณปาล์มน้ำมันในประเทศจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้ในช่วงเดือนเมษายน - มิถุนายนนี้ เนื่องจากจะมีผลผลิตปาล์มน้ำมันฤดูกาลใหม่ออกสู่ตลาดเพียงพอกับความต้องการใช้ในภาคพลังงานและการบริโภค โดยคาดว่าสต๊อกผลผลิตน้ำมันปาล์มดิบที่ใช้ในภาคขนส่งจะมีปริมาณ 120,000 ตันต่อเดือน ซึ่งใกล้เคียงกับสต๊อกปาล์มน้ำมันที่กำหนดไว้ ขณะที่น้ำมันปาล์มดิบ(ซีพีโอ)ที่ใช้ภาคการบริโภคจะมีปริมาณ 1 ล้านตันต่อเดือน
- สศค. วิเคราะห์ว่า ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา อุปสงค์ของผลผลิตปาล์มน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นมาก ตามความต้องการพลังงานทดแทน ในขณะที่อุปทานผลผลิตปาล์มน้ำมันได้รับผลกระทบปัจจัยสภาพภูมิอากาศไม่ค่อยเอื้ออำนวยต่อการผลิต ส่งผลให้ผลผลิตเฉลี่ยในปี 52-53 อยู่ที่ระดับ 8.2 ล้านตัน หรือหดตัวร้อยละ -11.7 เมื่อเทียบกับปี 51 ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าวจะส่งผลให้ราคาน้ำมันปาล์มที่ใช้ในประเทศปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ดี หากเป็นไปตามที่กรมธุรกิจพลังงานได้กล่าวนั้นจะช่วยบรรเทาผลกระทบต่อราคาน้ำมันปาล์มที่ราคาปรับตัวสูงขึ้นได้
3. เงินเฟ้อจีนกระทบคำมั่นสัญญาของเหวิน เจียเป่า ต่อการคุมราคาสินค้า
- อัตราเงินเฟ้อของจีนอยู่ที่ร้อยละ 4.9 ในเดือน ม.ค. 54 และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้นอีก ขณะที่ราคาบ้านใหม่ทะยานกว่าร้อยละ 6.8 สะท้อนความร้อนแรงของธุรกิจอสังหา ฯ ที่ไม่ได้ลดลงตามเป้าหมายที่รัฐบาลวางไว้ และส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในคำมั่นสัญญาในช่วงการกล่าวสุนทรพจน์ของประธานาธิบดี เหวิน เจียเป่า ในการประชุมสภาประชาชนจีน ที่ระบุว่า
จีนจะสร้างเสถียรภาพในสังคมด้วยการใช้มาตรการต่างๆ เพื่อควบคุมการขยายตัวอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ภายในเป้าหมายที่ 4% ในปี 54 (ขณะที่การขยายตัวทางเศรษฐกิจอยู่ที่ 8%) และจะสามารถควบคุมให้ราคาสินค้าเคลื่อนไหวในระดับที่เหมาะสม พร้อมระบุว่ารัฐบาลจะดำเนินนโยบายการคลังในเชิงรุก และจะดำเนินนโยบายการเงินอย่างระมัดระวังในปี 2554
- สศค.วิเคราะห์ว่า แม้ว่าจีนจะใช้มาตรการควบคุมเงินเฟ้อด้านต่างๆ อาทิ การเพิ่มสัดส่วนสำรองเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ การขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย การปรับลดค่าธรรมเนียมการขนส่งสินค้าเกษตร การสกัดกั้นขึ้นราคาอาหาร เป็นต้น แต่จีนยังคงเผชิญแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ (หลังจากที่รัฐบาลจีนใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินยาวนานกว่า 2 ปี)
เนื่องจากนโยบายการกระตุ้นอุปสงค์ของรัฐบาลจีนในช่วงก่อนหน้าที่สวนทางกับมาตรการควบคุมเงินเฟ้อดังกล่าว โดยเพิ่มการอุดหนุนให้กับเกษตรกรและคนยากจนในเมือง และมาตรกรลดช่องว่างทางรายได้โดยประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในหลายมณฑล เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบเช่นในตะวันออกกลาง ทั้งนี้ สศค.คาดว่าเศรษฐกิจจีนในปี 54 จะยังคงขยายตัวต่อเนื่องในระดับสูงที่ร้อยละ 9.0
ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง