ปอร์เช่ประกาศความสำเร็จของหลักประสิทธิภาพการทำงานสู่สายตาชาวโลก เตรียมเผยโฉม พานาเมร่า เอส ไฮบริด ใหม่ที่มีอัตราการปล่อย C02 เพียง 159 กรัมต่อกิโลเมตร
ปอร์เช่ประกาศความสำเร็จของหลักประสิทธิภาพการทำงานสู่สายตาชาวโลก เตรียมเผยโฉม พานาเมร่า เอส ไฮบริด ใหม่ที่มีอัตราการปล่อย C02 เพียง 159 กรัมต่อกิโลเมตร
ปอร์เช่ประกาศความสำเร็จของหลักประสิทธิภาพการทำงานอย่างอัจฉริยะของปอร์เช่ หรือ Porsche Intelligent Performance สู่สายตาชาวโลกอีกครั้งด้วยการเผยโฉมพานาเมร่า เอส ไฮบริด (Panamera S Hybrid) รุ่นรถพานาเมร่าใหม่ที่จะออกมาโกยความสำเร็จอย่างต่อเนื่องให้กับรถ 4 ประตูแกรนด์ทัวริสโม่อย่างพานาเมร่า แกรนด์ทัวริสโม่รุ่นนี้มีขุมพลังอยู่อย่างเต็มพิกัด และพร้อมจะทะยานไปข้างหน้าได้อย่างโดดเด่นและเต็มไปด้วยความเป็นสปอร์ต ด้วยกำลังเครื่องยนต์ที่มีแรงม้าสูงสุดถึง 380 แรงม้า (279 กิโลวัตต์) และมีอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงที่ดีเยี่ยมนั่นคือ 6.8 ลิตร/100 กม. เพียงเท่านั้น (ตามรูปแบบการขับขี่แบบ NEDC) อีกทั้งยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยอัตราการปล่อย C02 เพียง 159 กรัม/กม.
สมรรถนะเครื่องยนต์ที่ดีเยี่ยมของพานาเมร่า เอส ไฮบริด (Panamera S Hybrid) นี้ จึงทำให้ปอร์เช่รุ่นนี้กลายเป็นรุ่นที่ประหยัดที่สุดสำหรับแบรนด์ปอร์เช่ตั้งแต่เคยมีมาและถือได้ว่าโดดเด่นทิ้งรถรุ่นอื่นๆที่มีเครื่องยนต์ไฮบริดในคลาสเดียวกันไปได้อย่างสง่างาม ทั้งในเรื่องของความประหยัดและอัตราการปล่อยมลพิษที่ดีเลิศ ความสำเร็จนี้ต้องขอบคุณต่อมิชลิน (Michelin) ที่มีส่วนเช่นกัน เพราะมิชลิน (Michelin) ได้ทำการผลิตยางรุ่นพิเศษที่มีประสิทธิภาพความต้านทานที่ลงตัวและพร้อมใช้ในทุกฤดู
อีกทั้งยังผลิตออกมาเพื่อพานาเมร่ารุ่นนี้โดยเฉพาะ ซึ่งสามารถเลือกติดตั้งเป็นอุปกรณ์เสริมได้ และหากติดตั้งยางรุ่นมาตรฐานแล้วอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นยังอยู่ในระดับที่ดีเยี่ยมจนเหลือเชื่อด้วยอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงเพียงแค่ 7.1 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตรเท่านั้น (ตามรูปแบบการขับขี่แบบ NEDC) และมีอัตราการปล่อย CO2 อยู่แค่เพียง 167 กรัม/กม.เท่านั้นเอง
พานาเมร่า เอส ไฮบริด (Panamera S Hybrid) ได้กำหนดมาตรฐานใหม่ให้กับวงการรถไฮบริด ทั้งในแง่ของประสิทธิภาพที่คลาสสิกเมื่อวัดจากลักษณะความเป็นรถไฮบริด โดยพานาเมร่า เอส ไฮบริด สามารถเร่งเครื่องจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้ในเวลาเพียงแค่ 6.0 วินาทีเท่านั้นและมีความเร็วสูงสุดที่ 270 กม./ชม. เครื่องยนต์ที่ทำงานโดยระบบมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวนั้นสามารถวิ่งได้ยาวถึง 2 กม. โดยประมาณหรือวิ่งได้จนถึงอัตราความเร็วที่ 85 กม./ชม. ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาวะการขับขี่
เครื่องยนต์ไฮบริดของปอร์เช่คือระบบเดียวในโลกที่สามารถใช้ประโยชน์จากการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งต้องขอบคุณต่อระบบที่เรียกว่า "Sailing" ที่ใช้ขับเคลื่อนบนมอเตอร์เวย์และถนนสายหลัก และจะทำการตัดการทำงานและปิดหน่วยขับเคลื่อน powertrain เมื่อความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 165 กม./ชม.
พานาเมร่า เอส ไฮบริด (Panamera S Hybrid) ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ผสมเหมือนกับรุ่นคาเยนน์ เอส ไฮบริด (Cayenne S Hybrid): ซึ่งเครื่องยนต์ที่ทำการขับเคลื่อนหลักคือเครื่องยนต์เผาไหม้ขนาด 3 ลิตร V6 และสามารถส่งผ่านกำลังสูงสุดได้ถึง 333 แรงม้า (245 กิโลวัตต์) และสนับสนุนด้วยเครื่องยนต์แบบไฟฟ้าที่เพิ่มกำลังแรงม้าเพิ่มเติม 47 แรงม้า (34 กิโลวัตต์) ทั้งสองเครื่องยนต์สามารถให้ขุมพลังพานาเมร่าได้ด้วยตนเองและด้วยการทำงานร่วมกัน
ซึ่งมอเตอร์ไฟฟ้านั้นจะทำงานเป็นทั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าและสตาร์ทเตอร์ได้ทั้งสองอย่างเลยทีเดียว ด้วยการทำงานร่วมกับระบบคลัชต์แยกทำให้เกิดโมดูลไฮบริดขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ระหว่างเครื่องยนต์เผาไหม้และเกียร์ มอเตอร์ไฟฟ้าจะเชื่อมต่อกับแบตเตอรี่โลหะนิกเกิลไฮไดรด์ (NiMh) ซึ่งพลังงานไฟฟ้าจะเก็บได้จากการเบรคและการขับเคลื่อนของรถ ระบบส่งผ่านกำลังจะถูกจัดการโดยระบบเกียร์ 8 จังหวะ Tiptronic S ที่คุ้นเคยและติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรุ่นคาเยนน์นั่นเอง หากแต่อัตราส่วนการแพร่กระจายของกำลังนั้นกว้างกว่า
ส่วนของอุปกรณ์ในพานาเมร่า เอส ไฮบริด (Panamera S Hybrid) ถือได้ว่ามีอุปกรณ์ที่ติดตั้งมาเป็นมาตรฐานมากกว่ารุ่นพานาเมร่าเอส (Panamera S) เครื่องยนต์ 8 สูบเสียอีก ตัวอย่างเช่น รุ่นไฮบริดนี้จะติดตั้งระบบช่วงล่างแบบถุงลม (Adaptive Air Suspension) มาเป็นมาตรฐานพร้อมด้วยระบบการปรับตัวของระบบโช๊คอัพ (Adaptive shock-absorber system) ที่มาพร้อมกับ PASM ระบบ Servotronic และที่ปัดน้ำฝนด้านหลังก็ได้รับการติดตั้งมาเป็นมาตรฐานด้วยเช่นเดียวกัน ในแกรนด์ ทัวริสโม่ (Gran Turismo) คันนี้ยังมีการใช้แนวคิดการแสดงผลของนวัตกรรมไฮบริดในคาเยนน์ เอส ไฮบริด (Cayenne S Hybrid) ที่พร้อมจะให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสถานะการขับขี่ที่เฉพาะของเครื่องยนต์ไฮบริดต่อผู้ขับขี่อีกด้วย
ด้วยรุ่นไฮบริดที่เข้ามาเสริมทัพใหม่นี้ ทำให้พานาเมร่านั้นมีให้เลือกถึง 6 รุ่นที่แตกต่างเลยทีเดียว ซึ่งทุกรุ่นต่างพัฒนาและผลิตขึ้นมาตามหลักปรัชญากลยุทธ์ที่สำคัญของปอร์เช่นั่นคือ “หลักประสิทธิภาพอย่างอัจฉริยะของปอร์เช่”(Porsche Intelligent Performance) และเป็นผลให้พานาเมร่ากลายมาเป็นรุ่นที่โดดเด่นในคลาสนี้ ด้วยความสามารถในการผสมผสานความเป็นสปอร์ตเข้าสู่ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างลงตัวนั่นเอง
ด้วยสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่า พานาเมร่านี้คือสิ่งที่ลูกค้าต้องการ จึงแสดงให้เห็นว่านี่คือข้อยืนยันให้เห็นถึงความสำเร็จในตลาดได้อย่างสง่างามด้วยยอดขายเกือบ 30,000 คันตั้งแต่ออกสู่ตลาดได้เพียง 15 เดือนเท่านั้น ซึ่งหมายถึงแกรนด์ทัวริสโม่สามารถเข้าไปครอบครองส่วนแบ่งตลาดรถหรูได้ถึง 13 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว และแน่นอนรุ่นใหม่ล่าสุดของพานาเมร่านี้จะเป็นรุ่นที่เพิ่มความน่าดึงดูดให้กับปอร์เช่ในตลาดรถยนต์ได้อย่างไม่ต้องสงสัย