DRT ฟอร์มดี โชว์ผลงานปี53 กวาดรายได้ 3,304 ล้านบาท เร่งเครื่องปี 54 ชูกลยุทธ์ One Stop Branding ดันยอดขายโต 10%
นายอัศนี ชันทอง
กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน)
DRT ฟอร์มดี โชว์ผลงานปี53 กวาดรายได้ 3,304 ล้านบาท เร่งเครื่องปี 54 ชูกลยุทธ์ One Stop Branding ดันยอดขายโต 10%
“ผลิตภัณฑ์ตราเพชร” เผยปี 53 กำไรกว่า 453 ล้านบาท ขณะที่รายได้พุ่งแตะ 3.3 พันล้าน ผู้บริหารระบุพอใจผลงานโดดเด่น ยืนยันเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่กระทบยอดขาย ตั้งเป้ารายได้ปี 54 โตกว่า 10% ชูกลยุทธ์ One Stop Branding เพิ่มความหลากหลายให้ผลิตภัณฑ์ ตอบสนองความต้องการครบถ้วน พร้อมประกาศลุยธุรกิจวัสดุก่อสร้างครบวงจร เตรียมเจาะตลาดโครงการเพิ่ม เล็งขยายส่งออกประเทศพม่า เชื่อว่ามีศักยภาพเติบโตได้
นายอัศนี ชันทอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ “DRT” ผู้ผลิตและจำหน่าย ผลิตภัณฑ์ระบบหลังคา ไม้สังเคราะห์ พื้นไม้ลามิเนต แผ่นบอร์ด ยิปซัม และบริการหลังการขาย ภายใต้ตราสินค้า “ตราเพชร” เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานปี 2553 ว่า บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 453 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.3% จากงวดเดียวกันของปีที่แล้วซึ่งบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 376 ล้านบาท โดยมีกำไรต่อหุ้น 0.47 บาท ซึ่งถือว่าเป็นผลงานที่น่าพอใจมาก โดยเป็นปีที่โดดเด่นอย่างมากสามารถทำสถิติสูงสุดใหม่ ทั้งยอดขายและกำไร
ทั้งนี้ ในด้านของรายได้จากการขายปี 2553 สามารถทำได้ 3,304 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าปี 2552 ที่ทำได้ 2,775 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 529 ล้านบาท หรือ 19.1%
“ในปีที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่า บริษัทฯ เติบโตโดดเด่นอย่างมาก ซึ่งในส่วนของรายได้ที่เพิ่มขึ้น มาจากการเติบโตของตลาดภูมิภาค ซึ่งเป็นฐานลูกค้าหลักที่มีรายได้ที่ดีจากการขายสินค้าทางการเกษตร บวกกับในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทฯ ทำตลาดโครงการอย่างหนักโดยนำสินค้ากระเบื้องคอนกรีต โดยเฉพาะรุ่น อดามัส ซึ่งได้รับความนิยมในตลาดโครงการเป็นอย่างมาก โดยบริษัทฯ มีอัตราการเติบโต ในตลาดโครงการเพิ่มขึ้นกว่า 99% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว” นายอัศนี กล่าว
ทั้งนี้ ยอดขายกระเบื้องคอนกรีตในตลาดโครงการโตกว่าเท่าตัว เนื่องจากบริษัทฯ มีการพัฒนาดีไซน์สินค้าให้เป็นที่ยอมรับของกลุ่มสถาปนิก ตลอดจนผู้ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังมีสินค้าที่ครบครันตั้งแต่โครงสร้างหลังคา แปอัลตราสตีล กระเบื้องหลังคารวมถึงวัสดุทดแทนไม้ จึงทำให้สินค้าตราเพชรได้รับความไว้วางใจจากบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ อาทิเช่น บมจ.พฤกษาเรียลเอสเตท, บมจ.ควอลิตี้เฮ้าส์ และบมจ.ศุภาลัย เป็นต้น
กรรมการผู้จัดการ DRT กล่าวอีกว่า บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายในปี 54 จะเติบโตเพิ่มขึ้น 10% จากปี 53 โดยมีปัจจัยหนุนจากการรับรู้รายได้ของสายการผลิต NT 9 ซึ่ง เน้นผลิตภัณฑ์ทดแทนไม้ โดยคาดว่าจะสร้างรายได้ประมาณ 500 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังลงทุนอีก 50 ล้านบาท ขยายกำลังการผลิตกระเบื้องคอนกรีตอีก 20% ซึ่งจะเข้ามาช่วยเพิ่มยอดขายประมาณ 100 ล้านบาท ขณะที่แผนการลงทุนขยายการผลิตที่ 10 ซึ่งเป็นไลน์การผลิตสินค้าไม้ฝาเป็นหลักนั้น จะแล้วเสร็จในช่วงไตรมาสสอง ปี 2555 โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินงานและทยอยรับรู้รายได้ในปี 2556
ด้านนายสาธิต สุดบรรทัด รองกรรมการผู้จัดการ สายการขายและการตลาด DRT กล่าวว่า ในปีนี้ ได้ปรับภาพลักษณ์ของบริษัทฯ เริ่มตั้งแต่เปลี่ยนชื่อบริษัทฯ ใหม่ เพื่อให้สอดรับกับนโยบายในระยะยาวของบริษัทฯ ที่จะมีผลิตภัณฑ์หลากหลายขึ้น เพื่อขยายช่องทางสร้างรายได้เพิ่ม โดยล่าสุดก็เพิ่งเปิดตัวสินค้าใหม่ไป 3 รายการ ทั้ง “โครงหลังคาสำเร็จรูปตราเพชร” - “ยิปซัมตราเพชร” และ“แผงไม้บังตาสำเร็จรูป” ซึ่งสินค้าทั้งหมดก็ได้รับความสนใจเป็นอย่างดี และคาดว่าจะทำรายได้เพิ่มประมาณ 60 ล้านบาท
“สำหรับปีนี้ เราจะเน้นกลยุทธ์ One Stop Branding คือมีสินค้าครบถ้วน สนองความต้องการของคนทุกประเภทด้วยแบรนด์เดียว พูดง่ายๆ ว่า ซื้อสินค้าตราเพชร สามารถสร้างบ้านได้เลย” รองกรรมการผู้จัดการ สายการขายและการตลาด DRT กล่าว
นอกจากนี้ ในปี 54 บริษัทฯ มีแผนจะขยายการส่งออกให้มากขึ้น เพื่อรักษาสัดส่วนการส่งออกให้อยู่ที่ 10% จากยอดขายรวมทั้งหมด โดยจะเน้นไปยังประเทศพม่า กัมพูชา ลาว เวียดนาม จีน และฟิลิปปินส์
ในส่วนของกรณีที่เกิดเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างทหารไทย กับทหารกัมพูชาในพื้นที่ใกล้กับปราสาทพระวิหาร จ.ศรีสะเกษ นั้น ไม่ได้กระทบการจำหน่ายของบริษัทฯ เนื่องจากว่าปกติแล้ว บริษัทฯ ไม่ได้ค้าขายผ่านช่องทางนี้ แต่เราจะส่งสินค้าผ่านทางโรงเกลือ ด่านชายแดนอรัญประเทศ ซึ่งตอนนี้ก็ค้าขายได้ปกติ บวกกับสัดส่วนการจำหน่ายในกัมพูชาอยู่ในระดับที่ไม่มาก โดยอยู่ที่ 1-2% เท่านั้น ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังมีตลาดประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ ที่ยังขายได้ตามปกติ
รองกรรมการผู้จัดการ สายการขายและการตลาด DRT กล่าวอีกว่า บริษัทฯ มองว่า ประเทศพม่า เป็นโอกาสที่ DRT จะเข้าไปทำตลาด เนื่องจากว่าเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการส่งออกมากที่สุด ด้วยเหตุผลว่าหลังจากที่ประเทศพม่าสามารถผ่านการเลือกตั้งครั้งแรกไปได้ อย่างไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น ทำให้ประชาชนในประเทศเริ่มมีความเชื่อมั่น ส่งผลให้การจับจ่ายใช้สอยในประเทศดีขึ้น