ซีพีเอฟเดินหน้าขยายการลงทุนในต่างประเทศ เสริมการสร้างยอดขายและกำไรเติบโตในอีก 5 ปีข้างหน้า
นายอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริษัท มีมติเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2554 อนุมัติให้ซีพีเอฟเข้าลงทุนในประเทศกัมพูชาภายในไตรมาสที่ 1 ของปีนี้ และรายงานการเพิ่มทุนเพื่อการขยายธุรกิจของซีพีเอฟในประเทศมาเลเซียและรัสเซีย หวังผลจากการที่ประเทศเหล่านี้มีโอกาสและศักยภาพในการขยายตัวของธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารอีกมาก
การลงทุนของซีพีเอฟในประเทศกัมพูชา ดำเนินการโดยการเข้าซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ C.P.Cambodia Company Limited หรือ “CPC” ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจผลิตอาหารสัตว์ เลี้ยงสัตว์ และผลิตผลิตภัณฑ์อาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์เพื่อจำหน่ายในประเทศกัมพูชา โดยภายหลังการเข้าซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 1,475 หุ้น ที่ราคาเสนอขายหุ้นละ 11,030 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 500 ล้านบาทในครั้งนี้ จะทำให้ซีพีเอฟมีการถือหุ้นใน CPC ในอัตราร้อยละ 25 ของจำนวนหุ้นที่ออกและชำระแล้วของ CPC
นายอดิเรก กล่าวว่า คณะกรรมการบริษัทฯ เห็นว่ารายการดังกล่าวเป็นประโยชน์ต่อซีพีเอฟ เนื่องจากธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมในประเทศกัมพูชามีศักยภาพในการขยายตัวอีกมาก และ CPC เป็นบริษัทที่ได้วางรากฐานของธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมในประเทศกัมพูชามาได้ระยะหนึ่งแล้ว และมีความพร้อมที่จะรองรับการเจริญเติบโตของธุรกิจดังกล่าวต่อไปในอนาคต โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ผลประกอบการของ CPC มีการเติบโตและสร้างผลกำไรมาอย่างต่อเนื่อง
สำหรับประเทศรัสเซีย ซีพีเอฟรายงานการดำเนินการเพิ่มทุนจำนวน 429 ล้านรูเบิล หรือประมาณ 440 ล้านบาท ใน Charoen Pokphand Foods (Overseas) LLC. และเพิ่มทุนจำนวน 60 ล้านรูเบิล หรือประมาณ 61 ล้านบาท ใน CPF Agro LLC. ซึ่งทั้ง 2 บริษัทนี้เป็นบริษัทย่อยในกลุ่มซีพีเอฟ โดยวัตถุประสงค์ของการเพิ่มทุนครั้งนี้เพื่อเป็นรายจ่ายลงทุนในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ในประเทศรัสเซีย
นอกจากนั้น ซีพีเอฟได้รายงานการเพิ่มทุนในบริษัทย่อยในประเทศมาเลเซียจำนวน 25 ล้านริงกิต หรือประมาณ 253 ล้านบาท เพื่อปรับโครงสร้างเงินทุนให้เหมาะสมในการดำเนินธุรกิจเพราะเลี้ยงกุ้งและแปรรูปกุ้งของ Asia Aquaculture (M) Sdn. Bhd. ซึ่งเป็นบริษัทย่อยในกลุ่มซีพีเอฟ จากการเล็งเห็นศักยภาพในการขยายตัวของอุตสาหกรรมกุ้งในประเทศมาเลเซีย
“การเข้าลงทุนในประเทศกัมพูชาและการเพิ่มทุนเพื่อการขยายการลงทุนในประเทศมาเลเซียและรัสเซีย ว่าทั้งหมดนี้เป็นไปตามแผนงานในการขยายกิจการของซีพีเอฟไปยังต่างประเทศมากขึ้น โดยมีเป้าหมายว่า อัตราส่วนรายได้จากการขายของกิจการในต่างประเทศที่ปัจจุบันคิดเป็นประมาณร้อยละ 27 ของรายได้จากการขายรวม จะเพิ่มเป็นร้อยละ 40 ในอีก 5 ปีข้างหน้า และจะช่วยเสริมการเติบโตของกำไรของบริษัทด้วย โดยประเทศเหล่านี้ยังคงมีโอกาสให้ซีพีเอฟเข้าไปขยายการลงทุนในธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารได้อีกมาก” นายอดิเรก กล่าวในตอนท้าย