บางจากฯ ผนึกสามหน่วยงานรัฐตั้งศูนย์ศึกษาฟื้นสวนส้มร้างทุ่งรังสิตเป็นสวนปาล์มน้ำมัน ฝันหวานแก้ปัญหาหลายด้าน
บางจากฯ ผนึกสามหน่วยงานรัฐตั้งศูนย์ศึกษาฟื้นสวนส้มร้างทุ่งรังสิตเป็นสวนปาล์มน้ำมัน ฝันหวานแก้ปัญหาหลายด้าน
เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2554 บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ได้ลงนามบันทึกความร่วมมือจัดตั้งศูนย์ศึกษาและพัฒนาพื้นที่สวนส้มร้างทุ่งรังสิตเพื่อปลูกปาล์มน้ำมัน เพิ่มรายได้และแก้ปัญหาหนี้สินให้แก่เกษตรกร ป้องกันปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพฯ บรรเทาปัญหาภาวะโลกร้อน และช่วยสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศ
ดร.อนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริเวณทุ่งรังสิตในจังหวัดปทุมธานี และนครนายก มีพื้นที่สวนส้มร้าง ซึ่งเป็นพื้นที่รกร้างที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์กว่า 100,000 ไร่ เนื่องจากปัญหาดินเปรี้ยว ไม่เหมาะแก่การปลูกข้าวหรือพืชเกษตร แต่สามารถพัฒนามาปลูกปาล์มน้ำมันได้ บริษัท บางจากฯ จึงได้ร่วมกับภาครัฐ ดำเนินโครงการจัดตั้งศูนย์ศึกษาและพัฒนาสวนส้มร้างทุ่งรังสิตเพื่อปลูกปาล์มน้ำมัน ที่อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก
ความร่วมมือในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการส่งเสริมให้เกษตรกรในพื้นที่สวนส้มร้างทุ่งรังสิตหันมาปลูกปาล์มน้ำมัน ช่วยเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร รวมถึงเป็นแหล่งดูดซับก๊าซคาร์ไดออกไซด์ได้ถึง 500,000 ตันต่อปี ลดปัญหาภาวะโลกร้อน ซึ่งกิจกรรมนี้เป็นหนึ่งในโครงการ “ลดโลกร้อน ถวายพ่อ” ของบริษัท บางจากฯ เพื่อร่วมเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสครบ 7 รอบ 84 พรรษา 5 ธันวาคม 2554
ทั้งนี้ บริษัท บางจากฯ จะลงทุนและบริหารจัดการแปลงปลูกปาล์มต้นแบบในศูนย์ศึกษาและพัฒนาสวนส้มร้างทุ่งรังสิตเพื่อปลูกปาล์มน้ำมัน รวมทั้งพิจารณาลงทุนสร้างโรงสกัดน้ำมันปาล์มขนาดมาตรฐาน เมื่อมีการขยายพื้นที่ปลูกปาล์มในปริมาณที่มากเพียงพอ เพื่อรองรับผลผลิตปาล์มน้ำมันในพื้นที่ ตลอดจนเป็นผู้รับซื้อผลผลิตจากโรงสกัดน้ำมันปาล์มดังกล่าว เพื่อนำมาผลิตเป็นไบโอดีเซล ณ ศูนย์ผลิตไบโอดีเซล อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
นายเฉลิมพร พิรุณสาร ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า สวนส้มร้างทุ่งรังสิตมีศักยภาพในการปลูกปาล์มน้ำมันเนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีระบบชลประทานที่ดี สามารถปลูกได้ในดินเปรี้ยว ซึ่งจากการทดลองปลูกปาล์มในพื้นที่ดังกล่าวมากว่า 6 ปี พบว่าสามารถให้ผลผลิตที่ดีไม่แพ้ภาคใต้ สามารถพัฒนาเป็นแหล่งปลูกปาล์มน้ำมันขนาดใหญ่ในพื้นที่ภาคกลางได้ และเนื่องจากปาล์มน้ำมันเป็นพืชที่ชอบน้ำ
การขยายพื้นที่ปลูกปาล์มในบริเวณทุ่งรังสิต จึงเป็นการช่วยเพิ่มพื้นที่ซับน้ำในฤดูน้ำหลากเพื่อป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพมหานคร โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะให้การสนับสนุนด้านวิชาการ คัดเลือกและจัดหาพันธุ์ปาล์ม ตลอดจนให้ความรู้ในการจัดการสวนปาล์มแก่เกษตรกร สำหรับในโครงการดังกล่าว
นายลักษณ์ วจนานวัช ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า ธ.ก.ส.ได้ให้บริษัท บางจากฯ เช่าพื้นที่ประมาณ 1,200 ไร่ เพื่อจัดตั้งเป็นศูนย์ศึกษาและพัฒนาสวนส้มร้างทุ่งรังสิตเพื่อปลูกปาล์มน้ำมัน เพื่อเป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้และสร้างความมั่นใจให้เกษตรกรในพื้นทื่รวมทั้งบริเวณใกล้เคียง ถึงความเป็นไปได้ในการปลูกปาล์มน้ำมันในเขตพื้นที่ภาคกลาง โดยเฉพาะบริเวณทุ่งรังสิตว่าได้ผลผลิตดี คุ้มค่ากับการลงทุน มีตลาดรองรับผลผลิตอย่างครบวงจร ซึ่งหากเกษตรกรมีความสนใจ ธ.ก.ส. ก็พร้อมที่จะสนับสนุนด้านสินเชื่อเพื่อปลูกปาล์มน้ำมันในพื้นที่ดังกล่าวอย่างเต็มที่
ทั้งนี้หากโครงการประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย จะสามารถแก้ปัญหาด้านภาระหนี้สินให้กับเกษตรกรที่เคยประสบความเสียหายจากการทำสวนส้ม รวมทั้งช่วยสร้างอาชีพที่มั่นคงให้กับเกษตรกรได้เป็นจำนวนมาก
ดร.ณอคุณ สิทธิพงศ์ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า กระทรวงพลังงานพร้อมให้การสนับสนุนการใช้ไบโอดีเซลเพื่อรองรับผลผลิตปาล์มที่เพิ่มขึ้น โดยมีนโยบายส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซล B5 เกรดเดียวทั่วประเทศภายในปี 2554 ซึ่งจะส่งผลให้ปริมาณการใช้ไบโอดีเซล (B100) เพิ่มขึ้นจาก 1.8 ล้านลิตรต่อวัน เป็น 2.5 ล้านลิตรต่อวัน นอกจากนี้จะส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซล B10 เป็นพลังงานทางเลือกในอนาคต เพื่อช่วยสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศอีกด้วย