เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ ชี้ภาพรวมอุตสาหกรรมเหล็กปี 2554 สดใสหลังเศรษฐกิจประเทศกำลังพัฒนาเริ่มโต ขณะที่ไทยเดินหน้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐานดันความต้องการเหล็กพุ่ง
นายอนาวิล จิรธรรมศิริ
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ จำกัด (มหาชน)
เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ ชี้ภาพรวมอุตสาหกรรมเหล็กปี 2554 สดใสหลังเศรษฐกิจประเทศกำลังพัฒนาเริ่มโต ขณะที่ไทยเดินหน้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐานดันความต้องการเหล็กพุ่ง
“เชาว์ สตีล อินดัสทรี้” ผู้ผลิตและจำหน่ายเหล็กแท่งยาว ชี้ภาพรวมอุตสาหกรรมเหล็กปี 2554 สดใส หลังได้รับแรงหนุนจากเศรษฐกิจประเทศกำลังพัฒนาขยายตัว ขณะที่ประเทศไทยมีปัจจัยบวกจากการที่ภาครัฐยังเดินหน้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ส่งผลความต้องการใช้เหล็กเพิ่ม ชูจุดเด่นด้านบริการและคุณภาพของเหล็กที่ได้มาตรฐานอุตสาหกรรม หวังสร้างทางเลือกช่วยลูกค้าลดต้นทุนนำเข้าเหล็กจากต่างประเทศ พร้อมเตรียมลุยส่งออกตลาดประเทศเพื่อนบ้านแถบเอเชีย ตั้งเป้าธุรกิจปีนี้เติบโต 2 หลัก
นายอนาวิล จิรธรรมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ CHOW ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายเหล็กแท่งยาว (Billet) ตามมาตรฐานอุตสาหกรรมไทย เปิดเผยว่า เชื่อว่า ภาพรวมของอุตสาหกรรมเหล็กในปี 2554 จะมีทิศทางที่สดใสมากยิ่งขึ้น หลังจากได้รับปัจจัยบวกจากแรงหนุนของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจของประเทศที่กำลังพัฒนาในแถบทวีปเอเชีย เช่น จีน เวียดนาม ฟิลิปปินส์ บังคลาเทศ อินเดีย แอฟริกา ซึ่งรวมถึงประเทศไทยที่เศรษฐกิจยังขยายตัวได้ดี
ขณะที่ภาครัฐมีนโยบายลงทุนก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับภาคเอกชนที่ยังเดินหน้าลงทุนโครงการต่างๆ ส่งผลให้ความต้องการเหล็กทรงยาว เช่น เหล็กเส้น เหล็กข้ออ้อย เหล็กรูปพรรณ ที่ใช้ในการก่อสร้างมีความต้องการมากขึ้น
“อุตสาหกรรมเหล็กของโลกและของไทยได้ผ่านจุดต่ำสุด ทั้งในแง่ของความต้องการและราคา หลังจากปี 2552 และ 2553 เศรษฐกิจโลกอยู่ในภาวะซบเซา ทำให้ความต้องการใช้เหล็กลดลง แต่ปีนี้เศรษฐกิจโลกมีการฟื้นตัวที่ดี ดังจะเห็นได้จากประเทศในแถบเอเชีย ที่มีความต้องการใช้เหล็กเพิ่มมากขึ้นจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย จึงมั่นใจว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมเหล็กและผู้ประกอบการ ที่จะผลิตเหล็กเพื่อรองรับความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้น” นายอนาวิลกล่าว
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ กล่าวด้วยว่า สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปีนี้ บริษัทฯ จะเน้นการบริการลูกค้า โดยจะจัดส่งสินค้าที่มีคุณภาพในราคาที่แข่งขันได้ให้ทันกับความต้องการของลูกค้า เพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถบริหารจัดการต้นทุนและลดความเสี่ยงให้กับลูกค้าในแง่ของคุณภาพ หากต้องนำเข้าเหล็กจากต่างประเทศที่มีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า ซึ่งนอกจากจะมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนแล้ว ยังอาจจะมีปัญหาเรื่องคุณภาพของสินค้าที่อาจจะไม่ได้มาตรฐานตามที่ลูกค้าต้องการ
ทั้งนี้ ด้วยกำลังการผลิตปัจจุบันที่มีกว่า 730,000 แสนตันต่อปี ซึ่งเพียงพอต่อแผนดำเนินงานที่มีเป้าหมายขยายตลาดส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านในแถบเอเชีย พร้อมกับการพัฒนาเทคโนโลยีในการผลิตใหม่ๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันในตลาดให้ดีขึ้น จึงมั่นใจว่า ผลประกอบการในปี 2554 จะเป็นปีที่ดีที่บริษัทฯ มีโอกาสในการเติบโตเป็นเลข 2 หลักทั้งในแง่ของยอดขายและปริมาณ