นายอนุกูล แต้มประเสริฐ ผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า (อคส.) เปิดเผยว่า หลังจากที่คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติมีมติให้ อคส.เป็นผู้ดำเนินการนำเข้าน้ำมันปาล์มดิบบริสุทธ์ จากประเทศมาเลเซียหรืออินโดนีเซียจำนวน 30,000 ตันให้แล้วเสร็จภายในเดือนมกราคมนี้ เพื่อนำเข้ามาแทรกแซงและเสริมปริมาณน้ำมันปาล์มภายในประเทศให้มีการกระจายอย่างเพียงพอต่อความต้องการของประชาชนที่กำลังประสบปัญหาน้ำมันปาล์มขาดแคลนการบริโภคอยู่ในขณะนี้
ทั้งนี้ รูปแบบและวิธีการนำเข้าน้ำมันปาล์มดังกล่าวจะพิจารณาแล้วเสร็จภายในวันที่ 18 มกราคมนี้ คาดว่าน่าจะสามารถดำเนินการนำเข้าได้ภายในกรอบระยะเวลาที่ทางคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติกำหนดไว้ ซึ่งการจัดสรรและสัดส่วนปริมาณน้ำมันปาล์มดิบจะเป็นหน้าที่ของภาคเอกชน โดยผ่านทางสมาคมปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มแห่งประเทศไทย สมาคมโรงกลั่นน้ำมันปาล์มเป็นผู้ดำเนินการ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่คณะทำงานชุดนำเข้าน้ำมันปาล์มกำลังติดตามดูสถานการณ์ราคาน้ำมันปาล์มในตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากความต้องการนำน้ำมันปาล์มไปผสมเป็นไบโอดีเซลมากขึ้น จนทำให้ราคาน้ำมันปาล์มดิบในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาอยู่ที่ 38-39 บาทต่อกิโลกรัม และยังไม่รู้ว่าในช่วง 2 สัปดาห์ที่เหลือในเดือนนี้ราคาน้ำมันปาล์มดิบจะปรับเพิ่มขึ้นอีกหรือไม่
หากราคาน้ำมันปาล์มดิบยังปรับตัวขึ้นอีกอาจจะพิจารณาให้มีการนำเข้าน้ำมันปาล์มดิบจำนวน 30,000 ตันภายในครั้งเดียว แต่หากราคาน้ำมันปาล์มเริ่มปรับตัวลดลงจะใช้วิธีการทยอยนำเข้า เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียส่วนต่างของราคาน้ำมันปาล์มมากเกินไป
ทั้งนี้ หากราคาสูงและบวกค่าขนส่งและอื่น ๆ จนทำให้ราคาน้ำมันปาล์มดิบที่จะนำเข้ามาอยู่ที่กิโลกรัมละ 50 -60 บาทขึ้นไป อาจจะใช้วิธีการนำเข้าน้ำมันปาล์มขวดขนาด 1 ลิตรจาก 2 ประเทศผู้ผลิตน้ำมันปาล์ม รายใหญ่ของโลก ได้แก่ ประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซียเพื่อนำมากระจายสู่ตลาดในประเทศไทยและ จะติดสติกเกอร์ เพื่อให้ผู้บริโภคคนไทยได้รับรู้เป็นน้ำมันปาล์มนำเข้าจากต่างประเทศ เพื่อลดปัญหาน้ำมันปาล์มขาดตลาดอยู่ในขณะนี้
แต่หากไม่สามารถนำเข้าน้ำมันปาล์มดิบทันภายในระยะสิ้นเดือนมกราคมนี้ อคส.จะเสนอขอขยายระยะเวลาการนำเข้า หรือหากปริมาณผลผลิตปาล์มดิบภายในประเทศเริ่มกลับมาและเพียงพอต่อความต้องการทางกระทรวงพาณิชย์จะเสนอให้ทางคณะกรรมการนโยบายน้ำมันปาล์มแห่งชาติยกเลิกหรือปรับปริมาณการนำเข้าน้ำมันปาล์มดิบส่วนที่เหลืออยู่กันต่อไป
ที่มา : สำนักข่าวไทย
ผู้เสนอ : กลุ่มวิเคราะห์ข่าวและฐานข้อมูล สำนักโฆษก
ที่มา : เว็บไซต์รัฐบาลไทย