โกลเบล็ก ประเมินดัชนีตลาดหุ้นไทยครึ่งปีแรก มีลุ้นแตะ 1,200 จุด ระบุบาทแข็งหนุนเม็ดเงินต่างชาติทะลักเข้าตลาดทุน ชูกลุ่มพลังงาน แบงก์ ดาวเด่นในปีหน้า
นายธวัชชัย อัศวพรไชย
ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์(บล.) โกลเบล็ก จำกัด
บล.โกลเบล็ก ประเมินดัชนีตลาดหุ้นไทยครึ่งปีแรก มีลุ้นแตะ 1,200 จุด รับอานิงสงส์เศรษฐกิจในประเทศฟื้นตัว กำไรบจ.โต 20% แถมบาทแข็ง หนุนเม็ดเงินต่างชาติทะลักเข้าตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง แต่หวั่นปัจจัยเสี่ยงการเมือง –วิกฤติหนี้ยุโรปไม่คลี่คลาย กดดันราคาหุ้นรูดลงแตะระดับ 980 จุดได้ มองหุ้นกลุ่มพลังงาน – แบงก์ ยังเป็นดาวเด่นในปีหน้า
นายธวัชชัย อัศวพรไชย ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์(บล.) โกลเบล็ก จำกัด เปิดเผยถึง ทิศทางตลาดหุ้นไทยในปี2554 ว่า ดัชนีมีโอกาสที่จะแตะสูงสุดที่ระดับ 1,200 จุดในครึ่งปีแรก ซึ่งอิงค่าพี/อีเรโช 15.15 เท่า โดยคาดว่าจะมีปริมาณการซื้อขาย(วอลุ่ม)เฉลี่ยต่อวันประมาณ 29,457 ล้านบาท เนื่องจากยังได้รับแรงหนุนจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยคาดว่าเศรษฐกิจปีหน้าจะขยายตัวเพิ่มขึ้น รวมทั้งรัฐบาลยังสามารถจัดเก็บรายได้ตามเป้าหมาย และตัวเลขหนี้สาธารณะไม่สูงมากนัก
ส่วนผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ในตลาดหุ้นไทยมีอัตราการเติบโตต่อเนื่องเมื่อเทียบกับบริษัทจดทะเบียนอื่น ๆ ในตลาดหุ้นภูมิภาค โดยคาดว่ากำไรบจ.ปี2554 จะเติบโต 20% จากปี2553 ที่เติบโต 11.5% นอกจากนี้ การที่ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าจะเป็นปัจจัยบวกที่สนับสนุนให้นักลงทุนต่างชาติเข้าลงทุนตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง
“มองว่าในช่วงครึ่งปีแรก ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีโอกาสแตะ1,200 จุดเนื่องจากมองว่ายังคงมีเม็ดเงินจากต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับค่า P/E ในตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ระดับ 15.15 เท่า ซึ่งงบล.โกลเบล็กมองว่ายังมีศักยภาพ ประกอบกับบริษัทจดทะเบียนในประเทศไทยยังสามารถขยายตัว และทำกำไรเพิ่มขึ้นได้” นายธวัชชัย กล่าว
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเพิ่มความระมัดระวังลงทุนมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ดัชนีปรับลดลงมาที่แตะระดับ 980 จุดได้ อาทิ สถานการณ์การเมืองภายในประเทศ ถึงแม้ในปี2554จะมีการเลือกตั้งใหม่ก็ตาม แต่สถานการณ์ทางการเมืองก็ยังคงต้องเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด ส่วนกรณีการออกพันธบัตรของกลุ่มประเทศแถบยุโรปที่ทำได้ยากขึ้น ซึ่งก็จะส่งผลกระทบต่อการจัดลดอันดับเครดิต และกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุนเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ ยังต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงจากปัญหาเศรษฐกิจในหลายประเทศที่อาจกระทบตลาดหุ้นไทย อาทิ วิกฤติหนี้ในประเทศแถบยุโรป ถึงแม้ว่าจะไม่เห็นการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว แต่เชื่อว่าสถานการณ์จะเริ่มคลี่คลายลงตามลำดับ นอกจากนี้ อัตราการว่างงานของสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะทรงตัวอยู่ที่กว่า 9% หรือปรับลดลงบ้าง จะแสดงให้เห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ดี
“ทิศทางตลาดหุ้นที่ยังเป็นสัญญาณบวก แต่ดัชนีอาจผันผวนตามสถานการณ์ทางการเมือง และคาดว่าจะมีการเทรดดิ้งมากกว่าปี2553 ส่วนเรื่องการเมืองเชื่อว่าแม้มีการเปลี่ยนแปลงแต่รัฐบาลยังคงต้องลงทุนสาธารณูปโภค และกระตุ้นการใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากนโยบายต่างๆ ที่ออกมามีเสถียรภาพ เชื่อว่าจะทำให้ภาคเอกชนเกิดความมั่นใจ และลงทุนเพิ่มขึ้น” นายธวัชชัย กล่าว
สำหรับกลยุทธ์ การลงทุนหุ้นนั้น นายธวัชชัย กล่าวว่า ฝ่ายวิเคราะห์ให้น้ำหนักการลงทุนในปี2554 คือ กลุ่มพลังงาน อาทิ และกลุ่มธนาคาร เนื่องจากเป็นหุ้นที่มีการเติบโตสูง และมีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ สามารถผลักดันดัชนีให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ โดยกลุ่มพลังงานได้รับผลดีจากราคาน้ำมันที่คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง
แต่ยังต้องติดกรณีบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP ในประเด็นความเสียหายของปัญหาโครงการมอนทารา ซึ่งหากคลี่คลายไปในทางที่ดี จะส่งผลให้ปัจจัยที่กดดันราคาหุ้นหมดไป โดยหุ้นที่น่าสนใจ อาทิ PTTCH โดยราคาเป้าหมายที่ 200 บาท PTT ราคาเป้าหมาย 375 บาท BANPU ราคาเป้าหมาย 860 บาท ส่วนหุ้นกลุ่มธนาคารจะได้รับผลดีจากสินเชื่อปีหน้าที่เติบโตต่อเนื่อง อาทิ KTB ราคาเป้าหมาย 21.4 บาท และ BAY ราคารเป้าหมายที่ 32.7 บาท
นอกจากนี้ ยังมีหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าสนใจ เนื่องจากราคาหุ้นทั้งกลุ่มยังสามารถปรับตัวขึ้นได้อีก 22% โดยหุ้นที่น่าสนใจ ได้แก่ SEAFCO ราคาเป้าหมาย 8.70 บาท SYNTEC ราคาเป้าหมาย 2 บาท และ ITD ราคาเป้าหมายที่ 5.60 บาท
ส่วนกลุ่มหุ้นที่ฝ่ายวิเคราะห์ให้น้ำหนักการลงทุน ”ปานกลาง” ได้แก่ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากหมดมาตรการกระตุ้นภาษีการโอนฯ และทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ล้วนเป็นปัจจัยที่กดดันการลงทุน ด้านกลุ่มเดินเรือ ยังมีปัญหาของซัพพลาย (เรือ) ที่มีจำนวนสูงกว่าความต้องการใช้เรือ แต่เชื่อว่าซัพพลายจะเริ่มลดลง หลังจากที่ภาวะเศรษฐกิจโลกกลับมาฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง2554 ขณะที่กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ถ้าอัตราเงินเฟ้อไม่สูง เชื่อว่าจะไม่กระทบมากนัก