เอสเอสไอประกาศเพิ่มทุน 5,240 ล้านหุ้นปิดดีลซื้อโรงถลุงที่อังกฤษ คาดแล้วเสร็จพร้อมแผนการกู้เงิน ก.พ. นี้ เผยปี 2555 วัตถุดิบมั่นคงผลิตทะลุ3ล้านตัน
เอสเอสไอประกาศเพิ่มทุน 5,240 ล้านหุ้นปิดดีลซื้อโรงถลุงที่อังกฤษ คาดแล้วเสร็จพร้อมแผนการกู้เงิน ก.พ. นี้ เผยปี 2555 วัตถุดิบมั่นคงผลิตทะลุ3ล้านตัน
เอสเอสไอประกาศเพิ่มทุน 5,240 ล้านหุ้น จำหน่ายผู้ถือหุ้นเดิม และ บุคคลในวงจำกัด ระดมทุน 6,000 ล้านบาท เพื่อเตรียมความพร้อมลงทุนโรงถลุงเหล็กอังกฤษ คาดแล้วเสร็จพร้อมกับแผนการกู้เงินในเดือนกุมภาพันธ์นี้ส่งผลการซื้อสินทรัพย์โรงถลุงเหล็กเสร็จสมบูรณ์ไตรมาสแรก 2554 สามารถผลิตเหล็กแท่งแบนให้เอสเอสไอได้ภายใน 6 เดือน
มั่นใจปี 2555 เอสเอสไอทำสถิติใหม่ผลิตทะลุ 3 ล้านตัน เพราะมีความมั่นคงด้านวัตถุดิบ เผยมูลค่าตกลงซื้อขายที่ 500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรม (Fair Value) เบื้องต้นที่ 820 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ชี้วัตถุดิบมั่นคงช่วยสร้างเสถียรภาพการทำกำไร พร้อมก้าวสู่การเป็นผู้ผลิตเหล็กแผ่นครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในอาเซียน
นายวิน วิริยประไพกิจ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือ เอสเอสไอ เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2553 ได้พิจารณาและมีมติอนุมัติการเพิ่มทุนโดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนรวมไม่เกิน 5,240 ล้านหุ้นและวิธีการจัดสรร และให้นำเสนอการเพิ่มทุนและการจัดสรรต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาอนุมัติในวันที่ 25 มกราคม 2554 ต่อไป
เพื่อระดมเงินทุนประมาณ 6,000 ล้านบาทสำหรับเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินของบริษัทฯ และเตรียมความพร้อมด้านเงินทุนเพื่อการเข้าทำรายการซื้อสินทรัพย์โรงงานถลุงเหล็ก Teesside Cast Products ตามที่ได้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2553 กับ Tata Steel UK Limited (เดิมชื่อว่า Corus UK Limited)
การจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนดังกล่าวประกอบด้วย 2 ส่วน คือ 1) การจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนประมาณ 2,620 ล้านหุ้น ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ ตามสัดส่วนจำนวนหุ้นที่ผู้ถือหุ้นแต่ละรายถืออยู่ (Right Offering หรือ RO) ในอัตราจัดสรร 5 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่
ทั้งนี้ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ สามารถจองซื้อเกินสิทธิได้ โดยส่วนจองซื้อเกินสิทธินี้จะได้รับการจัดสรรตามสัดส่วนการถือหุ้นจนหมด หากมีหุ้นเหลือจากการจัดสรรให้ผู้ถือหุ้นเดิมจะนำไปจัดสรรและเสนอขายให้แก่บุคคลในวงจำกัด โดยกำหนดราคาเสนอขายในช่วงระหว่าง 1.20 ถึง 1.40 บาทต่อหุ้น และ
2) การจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 2,620 ล้านหุ้น เพื่อรองรับการเสนอขายให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement หรือ PP) ในราคาที่กำหนดจากการสำรวจความต้องการซื้อหลักทรัพย์ (Book Building) ซึ่งจะไม่ต่ำกว่าราคาเสนอขายหุ้นสามัญให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัท (RO).
โดยในส่วนของการเสนอขาย RO นั้น บริษัท มีความตั้งใจที่จะเสนอขายเต็มทั้งจำนวนที่มีการเพิ่มทุนรองรับไว้ ซึ่งในส่วนนี้ ทางเครือสหวิริยา ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทฯ ได้แสดงความตั้งใจ และความพร้อมที่จะเข้าจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนเกินสิทธิที่มีอยู่ เพื่อให้การเสนอขายในส่วนนี้ สามารถระดมทุนได้ครบตามจำนวนเงินที่ต้องการ
ในส่วนของการเสนอขาย PP บริษัทฯ จะเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในจำนวนไม่เกินประมาณ 2,620 ล้านหุ้น โดยจำนวนหุ้นที่จะทำการเสนอขายจะขึ้นอยู่กับราคา ที่จะทำให้สามารถระดมทุนจากการเสนอขายหุ้นในส่วนนี้เมื่อรวมกับที่ได้จากการเสนอขาย RO ครบจำนวนตามที่ต้องการ
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีความตั้งใจที่จะเสนอขาย PP ในจำนวนประมาณร้อยละ 75 ของจำนวนหุ้นเพิ่มทุนทั้งหมดหรือที่ประมาณ 1,965 ล้านหุ้น เพราะหากราคาเสนอขาย RO และ PP อยู่ที่ประมาณ 1.40 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นราคาที่ใกล้เคียงกับราคาตลาด ณ ปัจจุบันแล้ว เงินที่ได้จากการการเสนอขาย PP ที่ประมาณ 1,965 ล้านหุ้น เมื่อรวมกับการเสนอขาย RO เข้าด้วยกัน ก็จะทำให้สามารถระดมทุนจากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครบเกินกว่าที่ต้องการ
นายวินกล่าวว่ากำหนดการจองซื้อหุ้นและการเพิ่มทุนนี้คาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2554 สอดคล้องกับแผนการกู้เงินซึ่งจะแล้วเสร็จในระยะเวลาเดียวกัน ซึ่งจะส่งผลให้การเข้าไปซื้อสินทรัพย์เสร็จสมบูรณ์ภายในไตรมาสแรกปี 2554 ทำให้โรงงานถลุงเหล็กสามารถผลิตเหล็กแท่งแบน (Slab) ส่งกลับมาให้เอสเอสไอใช้ได้ภายใน 6 เดือนหลังจากนั้น
ทำให้มีความมั่นใจว่าในปี 2555 นี้เอสเอสไอจะสามารถผลิตได้ถึง 3 ล้านตัน และยอดขาย 70,000 ล้านบาท เพราะสามารถผลิตวัตถุดิบได้เองอันจะส่งผลให้บริษัทสร้างสถิติสูงสุดใหม่ในการผลิตนับตั้งแต่เปิดดำเนินการมา นอกจากนี้ราคาของสินทรัพย์ที่บริษัทจะเข้าทำการซื้อประมาณ 500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
แต่จากการประเมินมูลค่ายุติธรรม (Fair Value) เบื้องต้นโดยผู้ประเมินอิสระ คาดว่าคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 820 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ส่วนต่างของมูลค่านี้อาจสามารถรับรู้เป็นกำไรจากการซื้อสินทรัพย์ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับมูลค่าประเมินท้ายสุดและความเห็นจากผู้สอบบัญชี
“วัตถุประสงค์หลักในการเพิ่มทุนครั้งนี้ เพื่อสนับสนุนและเตรียมความพร้อมด้านเงินทุนในการเข้าทำรายการซื้อสินทรัพย์โรงงานถลุงเหล็ก Teesside Cast Products ซึ่งเป็นไปตามแผนการขยายธุรกิจของเอสเอสไอที่มีความต้องการที่จะขยายกระบวนการผลิตไปยังอุตสาหกรรมการผลิตเหล็กต้นน้ำเพื่อเป็นการสนับสนุนกระบวนการผลิตของเอสเอสไอในปัจจุบันและการก้าวสู่การเป็นผู้ผลิตเหล็กแผ่นครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในอาเซียน”
นายวินกล่าวอีกว่าการเข้าลงทุนซื้อสินทรัพย์นี้จะประโยชน์ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อเอสเอสไอหลายประการ ทั้งเสถียรภาพในการจัดหาวัตถุดิบเพื่อใช้ในกระบวนการผลิต ทำให้ปริมาณการผลิตและขายที่เพิ่มขึ้นเป็น 3 ล้านตันในปี 2555 และส่งผลให้ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยลดลง 5.6 เหรียญสหรัฐต่อตัน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการตลาดโดยเฉพาะอย่างยิ่งสามารถเพิ่มสัดส่วน สินค้าชั้นคุณภาพพิเศษจากเดิมร้อยละ 40 เป็นร้อยละ 70
ส่งผลให้กำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันถึง 15.3 เหรียญสหรัฐต่อตัน เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการวัตถุดิบเพื่อใช้ในกระบวนการผลิต (Inventory Management) ทำให้ลดปริมาณวัตถุดิบคงคลังจาก 60 วันเหลือเพียง 30 วัน ประหยัดดอกเบี้ยจ่ายได้ 150 ล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ต้นทุนการขนส่งวัตถุดิบทางเรือต่อหน่วยลดลง 7.5 เหรียญสหรัฐ เนื่องจากสามารถใช้เรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ (Panamax) ขนส่งวัตถุดิบคราวละ60,000-70,000 ตัน