ซิต้าผู้นำด้านการให้บริการไอที แอพพลิเคชันสนามบิน หวังเจาะตลาดในแถบอินโอจีน ตั้งสามารถคอมเทค เป็นตัวแทนจำหน่าย
มร. บรูโน เฟรนท์เซล (ที่ 6 จากซ้าย) รองประธานอาวุโสฝ่ายขายและจัดจำหน่าย ซิต้า ผู้นำตลาดในด้านการให้บริการไอที แอพพลิเคชันแก่สนามบินชั้นนำทั่วโลก ร่วมลงนามกับนายเจริญรัฐ วิไลลักษณ์ (ที่ 7 จากซ้าย) ประธานกรรมการบริหาร และนาย
|
ซิต้า ผู้นำตลาดในด้านการให้บริการไอที แอพพลิเคชั่นแก่สนามบินชั้นนำทั่วโลก เซ็นสัญญาแต่งตั้งบริษัท สามารถคอมเทค จำกัดเป็นตัวแทนจำหน่ายหลัก (Strategic Reseller) ในการขายและให้บริการไอทีโซลูชั่น เพื่อบุกตลาดสนามบินในประเทศไทยและในภูมิภาคอินโดจีน |
มร. บรูโน เฟรนท์เซล รองประธานอาวุโสฝ่ายขายและจัดจำหน่าย กล่าวในพิธีเซ็นสัญญาที่กรุงเทพฯ วันนี้ ว่า “การเซ็นสัญญาแต่งตั้งให้สามารถคอมเทคเป็น Value Added Reseller ครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญของซิต้าในการขยายธุรกิจบริการระบบสนามบินในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะในประเทศไทย และเมื่อพิจารณาความรู้และประสบการณ์ของกลุ่มบริษัทสามารถ เราจึงเชื่อมั่นว่า สามารถคอมเทคจะสามารถนำเทคโนโลยีอันทันสมัยของซิต้าไปใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับสนามบินและสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจแก่ผู้โดยสาร |
จากสัญญาความร่วมมือดังกล่าว บริษัท สามารถคอมเทค จำกัด ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มบริษัทสามารถ ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านการออกแบบและติดตั้งระบบข้อมูลสารสนเทศ จะได้รับสิทธิในการเป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์และบริการทางด้านสนามบินของซิต้าแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย กัมพูชา และลาว โดยสามารถคอมเทคจะได้รับการรับรองในฐานะ Certified Partner ซึ่งจะสามารถให้บริการแก่สนามบินได้อย่างใกล้ชิด ด้วยทีมงานวิศวกรชาวไทยที่มีความชำนาญและความคล่องตัวในการดูแลและซ่อมบำรุง |
ผลิตภัณฑ์และบริการของซิต้าภายใต้ข้อตกลงครั้งนี้ ประกอบด้วย ระบบไอทีแอพพลิเคชั่นในการให้บริการแก่ผู้โดยสารและระบบจัดการสัมภาระต่างๆ เช่น AirportConnect CUTE, AirportConnect Kiosk , BagManager และ BagMessage ซึ่งระบบสารสนเทศเหล่านี้ นอกจากจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพแล้ว ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบริหารสนามบินอีกด้วย โดยซิต้าจะให้การอบรมแก่เจ้าหน้าที่ของสามารถคอมเทคอย่างเต็มที่ ทั้งยังพร้อมให้การสนับสนุนด้านบริการ ทั้งนี้ เพื่อให้การทำงานร่วมกันมีประสิทธิภาพสูงสุด |
จากนโยบายของภาครัฐ ในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการบินในระดับภูมิภาค(Regional Hub) ก่อให้เกิดความจำเป็นในการพัฒนาระบบบริหารสนามบินอย่างเร่งด่วน ทั้งที่สนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินอื่นๆ ที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มศักยภาพและคุณภาพในการรองรับผู้โดยสารจำนวนมาก ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องให้ความสำคัญกับการบริหารงบประมาณในการดำเนินงาน และการใช้ระบบและอุปกรณ์ต่างๆให้มีประสิทธิผลสูงสุด เราจึงเชื่อว่าโซลูชั่นทางด้านสนามบินของซิต้า ซึ่งได้รับการยอมรับในระดับโลก จะเป็นส่วนสำคัญในการช่วยสร้างมาตรฐานการบริการที่ดีให้กับสนามบินต่างๆ ทั้งในประเทศไทยและประเทศอื่นๆ ในเขตภูมิภาคอินโดจีน อาทิ ลาว กัมพูชา เวียตนาม เป็นต้น ซึ่งประเทศเหล่านี้ ล้วนมีแนวโน้มที่จะพัฒนาสนามบินเพื่อรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจในอนาคตทั้งสิ้น ยิ่งไปกว่านั้น ในการเป็นพันธมิตรกับซิต้า สามารถคอมเทคยังจะได้รับการถ่ายทอดความรู้ทางด้านเทคโนโลยีระบบริหารสนามบินจากผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งก็จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถให้กับทีมไอทีของเราได้อย่างเต็มที่ ” นายวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าว |
การเซ็นสัญญาครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงสัมพันธภาพที่เหนียวแน่นขึ้นของทั้ง 2 บริษัท ซึ่งได้ทำงานร่วมกันมาแล้วในโครงการพัฒนา และติดตั้งระบบเช็คอินผู้โดยสารที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งแก่ท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งใหม่ ระบบนี้สามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 50 ล้านคน โดยสามารถคอมเทค คือหนึ่งใน Airports Systems Integration Specialists (ASIS) Consortium อันประกอบด้วย สามารถคอมเทค, ซีเมนส์, เอบีบี และ SATYAM |
ภายใต้โครงการดังกล่าว ได้มีการติตตั้ง ระบบเช็คอิน ( SITA Cute ) จำนวนกว่า 600 จุดบริการ รวมทั้งระบบในการดูแลผู้โดยสาร โดยได้มีการเตรียมคีออสสำหรับเช็คอินด้วยตัวเองอีก 50 เครื่อง เพื่อรองรับผู้โดยสารที่อาจเพิ่มมากขึ้นอีกเท่าตัวจากการนำเครื่องบินแอร์บัส เอ380 มาให้บริการ |
สำหรับกลุ่มการทำงานของทีมวิจัยนี้ได้แบ่งออกเป็น 4 กลุ่มการทำงานและอีก 1 บริหารงาน ได้แก่ กลุ่มออกแบบและจัดสร้างโครงสร้างอากาศยาน หรือ AIR FRAME ซึ่งมี น.ต.ดร.
|
ต่อมาเป็น กลุ่มออกแบบสร้างระบบควบคุมการบินอัตโนมัติ หรือ FLIGHT CONTROL โดยมีนาวาอากาศโท นวพันธ์ นุตคำแหง หัวหน้ากลุ่มกล่าวว่า ทีมวิจัยได้ออกแบบสร้างและพัฒนาระบบควบคุมการบินอัตโนมัติสำหรับอากาศยานไร้นักบินที่ประกอบด้วยคอมพิวเตอร์ (Flight Control Computer) ซึ่งติดตั้งอยู่บนเครื่องบิน UAV ที่ควบคุมเครื่องให้บินไปยังที่ต่างๆได้ แม้ว่า UAV จะไม่มีคนขับ แต่จะมีคนบังคับอยู่ที่สถานีภาคพื้นดิน(Ground Control Station) โดยอาศัยระบบสื่อสารระหว่างตัวเครื่องบินกับสถานีภาคพื้นดิน รวมทั้ง Software ควบคุมการทำงานของระบบ ซึ่งเป็นองค์ความรู้จากทีมวิจัยที่ได้พัฒนาเขียนโปรแกรมและทดสอบการบินขึ้นใช้ได้เองเกือบทั้งหมด รวมทั้งปรับปรุงประสิทธิภาพจนทำให้สามารถรักษาเสถียรภาพและท่าทางการบินได้ตลอดเวลา เช่น บินรักษาความเร็วในระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตรต่อชั่วโมงและมีระบบนำร่องกลับฐานอัตโนมัติเมื่อเกิดเหตุบกพร่อง หรือระบบเก็บข้อมูลการบินและปรับปรุงให้มีขนาดเล็กเบา ประหยัดพลังงานและไฟฟ้ามากขึ้น อีกทั้งทีมวิจัยยังมีการพัฒนาผลงานต่อเนื่อง เช่น ทดสอบการบินนำร่องอัตโนมัติในระยะไกลเพิ่มขึ้น |
กลุ่มระบบสื่อสารการบิน หรือ COMMUNICATION โดยผศ.ดร.ทองทด วานิชศรีหัวหน้ากลุ่มระบบสื่อสารการบิน กล่าวว่า การออกแบบและพัฒนาระบบสื่อสาร เพื่อการควบคุมและส่งสัญญาณภาพ ทำหน้าที่เชื่อมต่อสัญญาณระหว่างสถานีภาคพื้นดินกับตัวUAVและดาวโหลดสัญญาณจากUAV ส่งกลับมายังภาคพื้นดินแบ่งเป็น 2 ระบบใหญ่ได้แก่ ย่านความถี่ UHF และย่านความถี่ C Band โดย UHFจะใช้เป็นระบบสื่อสารสำรอง ส่วน C Band นั้นจะเป็นระบบสื่อสารหลัก โดยกลุ่มนี้ได้ทดสอบระบบสื่อสารการบินหลายครั้ง เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อนำมาติดตั้งใน UAV ขนาดจริง อาทิ ได้ทดสอบการส่งสัญญาณเป็นคลื่นวิทยุจากตึกสูง โดยอาศัยการทำงานเหมือนการสื่อสารผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ต้องติดต่อถึงกันได้ตลอดเวลาจากภาคพื้นดิน และทีมวิจัยยังต้องคำนึงถึงขนาดน้ำหนักในอุปกรณ์ต่างๆที่เน้นขนาดเล็ก เบาบาง แต่แข็งแรง เพราะนำไปติดตั้งบนเครื่องบิน จะรับน้ำหนักมากเกินไปไม่ได้ อีกทั้งยังต้องคำนึงถึงการส่งสัญญาณ เนื่องจากภายใน UAV ลำเดียวกันจะมีระบบสัญญาณหลักๆที่แบ่งตามการทำงานถึงสี่กลุ่ม จึงทำให้ต้องใช้คลื่นความถี่ที่หลบหลีกกัน เช่น หากส่งสัญญาณความถี่สูงไปยังเครื่องบิน สัญญาณอีกระบบจะต้องเป็นสัญญาณที่ต่ำกว่า เพื่อไม่ให้รบกวนกัน |
ต่อมาจะเป็นกลุ่มที่ทำหน้าที่เปรียบเสมือนตาทิพย์ของ UAV ได้แก่ กลุ่มทำหน้าที่ออกแบบและจัดสร้างระบบประมวลผลการติดต่อสื่อสารและอุปกรณ์ภาพ หรือ PAYLOADS ซึ่งมี รศ.ดร.
|
ด้านหัวหน้าสำนักระบบบริหารจัดการโครงการอากาศยานไร้นักบิน พล.ต.
|
รศ.ดร.สุธีระ ประเสริฐสรรพ์ ผู้อำนวยการฝ่ายอุตสาหกรรม สกว. กล่าวว่า การทำงานวิจัยในโครงการนี้ต้องใช้ความพยายามมาก แต่ทีมวิจัยก็พร้อมที่จะกระโจนเข้าสู่งานวิจัยที่ก้าวหน้า อุปสรรคสำหรับโครงการวิจัยนี้ได้แก่ การเป็นโครงการใหม่ที่ไม่เคยทำมาก่อนในการทำงานจึงเน้นการประชุมเชิงปฏิบัติการ ใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างความรู้ ความเข้าใจและประสานการทำงานอย่างเป็นระบบในการพัฒนาโครงการวิจัยที่ซับซ้อน เพื่อความสำเร็จร่วมกันและเป้าหมายที่ชัดเจนของโครงการนี้คือ ได้ต้นแบบระบบอากาศยานไร้นักบิน(UAV) ใช้เองในประเทศที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพ ไปพร้อมๆกับความสำเร็จของบทพิสูจน์การทำงานร่วมกันเป็นทีมของคนไทย |