เนื้อหาวันที่ : 2010-11-29 09:32:32 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1142 views

ส่งออกเตือนเอกชนเร่งปรับตัวรับมือบาทแข็งปีหน้า

ส่งออก เตือนเอสเอ็มอีต้องเร่งปรับตัวรับมือความเสี่ยงบาทแข็ง เผยปีหน้าผู้ประกอบการเหนื่อย ส่งออกโตแค่ 8% แนะบริหารต้นทุน-คุณภาพสินค้า

 
ส่งออก แนะเอสเอ็มอีต้องเร่งปรับตัวรับมือความเสี่ยงบาทแข็ง เผยปีหน้าผู้ประกอบการเหนื่อย ส่งออกโตแค่ 8% แนะบริหารต้นทุน-คุณภาพสินค้า


ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจำเป็นต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยต้องมีการประเมินสถานการณ์ความเสี่ยงทางธุรกิจอย่างใกล้ชิด โดยผู้บริหารต้องหันมาใช้เทคโนโลยี เพื่ออำนวยความสะดวกด้านข้อมูลข่าวสาร ทำความเข้าใจกับตลาดที่กำลังจะขยายตัวไปเป็นตลาดระดับภูมิภาค ดูแลต้นทุนการผลิตอยู่ตลอดเวลา รวมถึงเปรียบเทียบต้นทุนกับคู่แข่งด้วยว่ายังอยู่ในระดับที่แข่งขันได้หรือไม่


นายวุฒิชัย ดวงรัตน์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก กล่าวในงานเสวนาเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันเอสเอ็มอีไทย ภายใต้โครงการส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการเพื่อการส่งออก หัวข้อ “ค้นทางเลือก หาทางรอดกลางวิกฤติธรรมชาติยุคบาทแข็ง” ตามนโยบายของกระทรวงพาณิชย์ว่า ได้พยายามหาแนวทางเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและเสริมสภาพคล่องให้กับเอสเอ็มอี โดยเจาะลึกเป็นรายสินค้า


และทำความเข้าใจถึงสภาพของแต่ละตลาด เพื่อนำมาประยุกต์การเข้าถึงตลาดที่มีศักยภาพดีและได้รับผลกระทบน้อย รวมถึงเพื่อเตรียมออกมาตรการช่วยเหลือ เยียวยา ให้ตรงกับความต้องการของแต่ละอุตสาหกรรม พร้อมกับเร่งหาตลาดส่งออกใหม่ ให้กับผู้ประกอบเอสเอ็มอีเพิ่มเติม อย่างไรก็ตามยังมั่นใจว่า แม้ค่าเงินบาทจะแข็งค่า   แต่การส่งออกปีหน้าจะขยายตัวไม่ต่ำกว่า 10% หรือมูลค่าเกินกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ


“สำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจำเป็นต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยต้องมีการประเมินสถานการณ์ความเสี่ยงทางธุรกิจอย่างใกล้ชิด โดยผู้บริหารต้องหันมาใช้เทคโนโลยี เพื่ออำนวยความสะดวกด้านข้อมูลข่าวสาร ทำความเข้าใจกับตลาดที่กำลังจะขยายตัวไปเป็นตลาดระดับภูมิภาค ดูแลต้นทุนการผลิตอยู่ตลอดเวลา รวมถึงเปรียบเทียบต้นทุนกับคู่แข่งด้วยว่ายังอยู่ในระดับที่แข่งขันได้หรือไม่” นายวุฒิชัย กล่าวเพิ่มเติม


นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ในปีหน้าเป็นห่วงว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวน้อยลง และจะทำให้เศรษฐกิจไทยในปีหน้าจะเติบโตเพียงแค่ 4 % จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ 3.5 -5% ขณะที่เงินบาทอาจจะแข็งค่าถึง 26-27 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้การส่งออกของไทยขยายตัวเพียง 8% จากเดิมที่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 10 – 13%


“หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงต้องเร่งหามาตรการแทรกแซงการเก็งกำไร และใช้มาตรการทางภาษี รวมทั้งผลักดันให้เอสเอ็มอีไทยไปลงทุนในประเทศต่างๆ ให้มากขึ้นกว่านี้ ผู้ประกอบต้องดูแลต้นทุนและคุณภาพสินค้าให้ดีอยู่ตลอดเวลา” นายธนวรรธน์ กล่าว


สำหรับผลการดำเนินมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE2 ) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด มาใช้ และรวมทั้งปัญหาหนี้สาธารณะของประเทศยุโรป และความเสี่ยงของไอซ์แลนด์ที่อาจจะเริ่มก่อตัว จะเห็นผลกระทบกับเศรษฐกิจโลกชัดเจนในไตรมาสที่ 1 ปี 2554


นายทศพล วังศิลาบัตร ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดอยุธยา และกรรมการผู้บริหารสถาบันวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมอุตสาหกรรมการผลิต (เอสเอ็มไอ) กล่าวว่า สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องการความช่วยเหลือในขณะนี้ ได้แก่ การสร้างเครือข่ายร่วมกัน การพัฒนาด้านคุณภาพและมาตรฐานสินค้า การเข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อนำเงินมาปรับปรุงเครื่องจักร เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การเข้าถึงตลาด และต้องการให้มีการเพิ่มทักษะแรงงานให้มากขึ้น


“รัฐบาลต้องเร่งเข้ามาช่วยเหลือผู้ประกอบการในกลุ่มที่ไม่ได้เป็นเครือข่ายของธุรกิจขนาดใหญ่ เพราะกลุ่มดังกล่าวไม่สามารถเติบโตได้ตามบริษัทขนาดใหญ่ แต่ทำธุรกิจเพียงลำพัง รวมทั้งปรับโครงสร้างทางภาษีที่เอื้อต่อการทำธุรกิจสำหรับเอสเอ็มอี” นายทศพล กล่าวเพิ่มเติม


นายจักรมณฑ์ ผาสุกวณิช กรรมการและประธานกรรมการ ธนาคาร ซีไอเอ็มบีไทย กล่าวว่า ปีหน้าเงินบาทมีโอกาสแข็งค่าแตะระดับ 28 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้การส่งออกปีหน้าขยายตัวน้อยลง ผู้ส่งออกจึงควรรับมือด้วยการทำประกันความเสี่ยงค่าเงิน และควรใช้เงินสกุลอื่นแทนดอลลาร์ เช่น หากซื้อขายกับจีนก็ควรใช้เงินหยวน เป็นต้น


นายวัลลภ วิตนากร รองประธานสภาผู้ส่งออกสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย กล่าวว่า  ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ไม่มีมาตรการเพิ่มเติมเพื่อดูแลค่าเงินบาท ผู้ส่งออกคงจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก เพราะลูกค้าไม่ยอมรับการปรับขึ้นราคา


ที่มา : กรมส่งเสริมการส่งออก