สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านชู 3 กลยุทธ์หลัก เร่งยกระดับมาตรฐานธุรกิจรับสร้างบ้าน ตั้งศูนย์ข้อมูลธุรกิจรับสร้างบ้าน หวังศูนย์กลางด้านข้อมูล ข่าวสาร และเจาะลึกงานวิจัยผู้บริโภค
นายวิบูล จันทรดิลกรัตน์ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน
สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านชู 3 กลยุทธ์หลัก เร่งยกระดับมาตรฐานธุรกิจรับสร้างบ้าน ตั้งศูนย์ข้อมูลธุรกิจรับสร้างบ้าน หวังสร้างเป็นศูนย์กลางด้านข้อมูล ข่าวสาร และเจาะลึกงานวิจัยผู้บริโภค เล็งผลช่วยพัฒนาศักยภาพของบริษัทรับสร้างบ้านให้เพิ่มขึ้น
พร้อมเพิ่มความร่วมมือกับหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องพัฒนากิจกรรมร่วมกัน เร่งพัฒนาศักยภาพสมาชิกผ่านการฝึกอบรม สัมมนา และกิจกรรมการจับคู่ทางธุรกิจ (Business Matching) คาดการณ์ตลาดรับสร้างบ้านปี 53 เติบโต 5 %
นายวิบูล จันทรดิลกรัตน์ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน เปิดเผยถึงนโยบายการดำเนินงานของสมาคมฯ ในปี 2554 โดยจะมุ่งยกระดับมาตรฐานทางวิชาชีพในธุรกิจรับสร้างบ้านอย่างเข้มข้นมากขึ้น ผ่านกลยุทธ์หลักๆ 3 เรื่องคือ การจัดตั้งศูนย์ข้อมูลสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (Home Builder Information Center) การพัฒนาความร่วมมือในด้านต่างๆ กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งหน่วยงานราชการ ภาคเอกชน และการมุ่งพัฒนาศักยภาพในด้านต่างๆ ให้กับสมาชิก
กลยุทธ์แรก การจัดตั้งศูนย์ข้อมูลสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อการรวบรวม และวิเคราะห์ข้อมูลของธุรกิจรับสร้างบ้าน รวมถึงธุรกิจอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ซึ่งล่าสุดสมาคมฯได้รับความร่วมมือ จากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ที่จะเข้ามาช่วยเหลือในด้านการรวบรวมข้อมูล
และให้คำปรึกษาในการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน คาดว่าจะสามารถจัดตั้งศูนย์ข้อมูลดังกล่าวได้ในช่วงต้นปี 2554 ทั้งนี้นอกจากศูนย์ข้อมูลสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน จะได้ทำหน้าที่เก็บรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจรับสร้างบ้านแล้ว ยังจะได้ดำเนินการด้านการจัดทำวิจัยในหัวข้อต่างๆ อย่างจริงจัง
อาทิ การวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคในด้านต่างๆ การวิจัยด้านการพัฒนาตลาดรับสร้างบ้าน ฯลฯ เพื่อนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ในการดำเนินธุรกิจของสมาชิกต่อไป นอกจากนี้ยังจะเน้นหนักในเรื่องของการจัดสัมนาทางวิชาการ ทั้งในส่วนของการให้ข้อมูลในเชิงธุรกิจกับผู้ประกอบการในวงการ รวมถึงหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภคเพิ่มขึ้นอีกด้วย
กลยุทธ์ที่สอง ด้านการพัฒนาความร่วมมือกับองค์กรอื่นๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนนั้น ในปัจจุบัน สมาคมฯ ได้รับการยอมรับจากหน่วยงานต่างๆ เพิ่มมากขึ้น ทำให้ได้รับเชิญและเข้าไปมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมต่างๆ โดยเฉพาะกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจรับสร้างบ้าน ดังนั้นในปี 2554 สมาคมฯจึงได้ตั้งเป้าหมายที่ จะสานต่อในเรื่องนี้อย่างเป็นรูปธรรม อาทิ การจัดทำโครงการบ้านยิ้มร่วมกับ สำนักพัฒนาที่อยู่อาศัย (สพอ.)
กรุงเทพมหานคร (กทม.) โครงการดังกล่าวจะเป็นไปในรูปแบบที่สมาคมฯให้การสนับสนุนมอบแบบบ้านให้กับกทม. เพื่อนำไปแจกให้กับประชาชนผู้สนใจทำการปลูกสร้างบ้าน คาดว่าโครงการความร่วมมือดังกล่าวจะเริ่มต้นได้ในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2554 นอกจากนี้ยังมีโครงการความร่วมมือที่อยู่ระหว่างการเจรจาอีกหลายส่วน ที่จะสานต่อ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการพัฒนาข้อมูล การนำเสนอแนวทางและการพัฒนาตลาดที่อยู่อาศัย ฯลฯ
กลยุทธ์ที่สาม สมาคมฯ มีนโยบายที่จะเร่งพัฒนาศักยภาพของสมาชิก เพื่อให้สมาชิกมีความแข็งแรง ทั้งในเชิงวิชาชีพ และเชิงของธุรกิจ ผ่านการจัดฝึกอบรม และสัมมนาในหัวข้อต่างๆ รวมถึงการสานต่อกิจกรรม การจับคู่ทางธุรกิจ (Business Matching) ให้มีขนาดของกลุ่มที่เข้ามาร่วมกิจกรรมที่ใหญ่ขึ้น และ มีความหลากหลายในตัวผลิตภัณฑ์ที่เข้ามาร่วมมากขึ้น โดยในส่วนของโครงการจับคู่ทางธุรกิจนั้นในปี 2554 คาดว่าจะสามารถเพิ่มจำนวนผู้ที่สนใจเข้าร่วมได้เพิ่มขึ้น และเพิ่มดีลทางธุรกิจได้มากกว่าในปีที่ผ่านมา
“ทั้ง 3 เรื่องถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยยกระดับของธุรกิจรับสร้างบ้านให้มีความเป็นมืออาชีพ และ ได้รับการยอมรับจากทั้งผู้ประกอบการด้วยกันเอง และผู้บริโภค โดยเฉพาะการจัดตั้งศูนย์ข้อมูล ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจรับสร้างบ้านโดยเฉพาะ ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ขณะเดียวกันศูนย์ข้อมูลของเรายังให้ความสำคัญกับการทำวิจัยพฤติกรรมผู้บริโภค ด้วยเพื่อนำไปพัฒนาสินค้าและบริการเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคให้ได้มากที่สุด” นายวิบูล กล่าว
นายวิบูล กล่าวต่อไปว่า สำหรับในส่วนของภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านปี 2553 นั้น ในช่วงไตรมาสที่ 2 ธุรกิจรับสร้างบ้านได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในกรุงเทพฯพอสมควร แต่ตัวเลขการปลูก สร้างบ้านยังคงอยู่ในเกณฑ์ที่ดีโดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2553 ตัวเลขการปลูกสร้างบ้านยังมีปริมาณที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2552
ซึ่งจากข้อมูลของฝ่ายวิชาการของสมาคมฯ คาดว่ามูลค่าตลาดรวมของธุรกิจรับสร้างบ้านในปี 2553 น่าจะมีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 11,500 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้นจากปี 2554 อยู่ประมาณ 5% ขณะที่ในปี 2554 ทางสมาคมฯ ยังตั้งเป้าหมายการเติบโตไว้ประมาณ 5-10%