ไรมอน แลนด์ โล่งอกหลังไตรมาส 3 กลับมามีกำไรอีกครั้ง ประกาศเดินหน้าปรับกลยุทธ์และแผนการลงทุน เตรียมลุยโครงการใหม่สุดหรูที่พัทยา
. |
ไรมอน แลนด์ โล่งอกหลังไตรมาส 3 กลับมามีกำไรอีกครั้ง ประกาศเดินหน้าปรับกลยุทธ์และแผนการลงทุน เตรียมลุยโครงการใหม่สุดหรูที่พัทยา |
. |
บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) (‘ไรมอน แลนด์’ หรือ ‘บริษัท’) ประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ประจำปี 2553 พร้อมเดินหน้าแผนนักลงทุนสัมพันธ์เพื่อเสนอต่อผู้จัดการกองทุนและนักวิเคราะห์ และประกาศซื้อหุ้นที่เหลืออีกร้อยละ 15 ของโครงการเดอะริเวอร์ คืน และเดินหน้าโครงการใหม่ “ซายร์ วงศ์อมาตย์” ที่พัทยาในต้นปี 2554 ในไตรมาสที่ 3 ไรมอน แลนด์ กลับมามีกำไรอีกครั้ง |
. |
โดยกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อม (EBITDA) มีจำนวน 134 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 24 ล้านบาทเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมาซึ่งมีผลขาดทุน โดยส่วนของผู้ถือหุ้นปรับขึ้นเล็กน้อยเมื่อสิ้นสุดไตรมาสอยู่ที่ 2,243 ล้านบาท (รายละเอียดเกี่ยวกับงบการเงินรวมของบริษัทสามารถดูเพิ่มเติมได้ในภาคผนวก) |
. |
มร.อูแบร์ วิริออท กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) ให้ความคิดเห็นต่อผลประกอบการครั้งนี้ว่า “บริษัท ไรมอน แลนด์ กลับมามีผลกำไรอีกครั้งในไตรมาสที่ 3 ปี 2553 หลังจากการปรับโครงสร้างองค์กรในปีที่ผ่านมา และถึงแม้ว่าภายรวมในระยะเวลา 9 เดือนที่ผ่านมายังไม่โชว์ผลกำไร เนื่องจากการตั้งสำรองในช่วงต้นปี |
. |
แต่หากมองภาพในระยะกลาง บริษัทเรามีความเข้มแข็งอย่างมาก โดยปัจจุบันบริษัทมียอดขายมากกว่า 16.3 พันล้านบาทรวมทั้ง 4 โครงการ ซึ่งบริษัทรับรู้รายได้ไปแล้วจำนวน 8.4 พันล้านบาท ทั้งนี้ไม่รวมยอดขายอีก 14.6 พันล้านบาทที่จะเกิดขึ้นจากโครงการดังกล่าว” |
. |
มูลค่าขายของโครงการเดอะริเวอร์ ในกรุงเทพฯ อยู่ที่ประมาณ 9.7 พันล้านบาทซึ่งคิดเป็นร้อยละ 65 ของมูลค่าโครงการทั้งหมด ซึ่งโครงการคาดว่าจะแล้วเสร็จในอีก 18 เดือนข้างหน้า โดยเมื่อสิ้นสุดไตรมาสสาม ณ วันที่ 30 กันยายน โครงการเดอะริเวอร์รับรายได้ไปแล้วจำนวน 4.1 พันล้านบาท |
. |
มูลค่าขายของโครงการเดอะริเวอร์ ในกรุงเทพฯ อยู่ที่ประมาณ 9.7 พันล้านบาทซึ่งคิดเป็นร้อยละ 65 ของมูลค่าโครงการทั้งหมด ซึ่งโครงการคาดว่าจะแล้วเสร็จในอีก 18 เดือนข้างหน้า โดยเมื่อสิ้นสุดไตรมาสสาม ณ วันที่ 30 กันยายน โครงการเดอะริเวอร์รับรายได้ไปแล้วจำนวน 4.1 พันล้านบาท |
. |
นอกจากนั้นโครงการ 185 ราชดำริที่เพิ่งเปิดตัวในเดือนกันยายน มียอดขายแล้วกว่า 2.2 พันล้านบาท และยังมียอดขายรอทำสัญญาอีก 5 ร้อยล้านบาท สำหรับโครงการนอร์ทพ้อยท์ที่พัทยาซึ่งก่อสร้างแล้วเสร็จไปเมื่อไตรมาสที่ 4 ปี 2552 ที่ผ่านมา มียอดขายแล้ว 3.3 พันล้านบาทจากมูลค่าโครงการทั้งสิ้น 5 พันล้านบาทโดยเป็นยอด ณ วันที่ 30 กันยายน 2553 |
. |
ส่วนโครงการใหม่ของไรมอน แลนด์ในพัทยาอีกโครงการหนึ่ง คือโครงการซายร์ วงศ์อมาตย์ มีกำหนดเปิดตัวต้นปี 2554 มูลค่าโครงการประมาณ 2.8 พันล้านบาท ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1 แสนบาทต่อตารางเมตร โดยราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 7 หมื่นบาทต่อตารางเมตรหรือ 2.5 ล้านบาท |
. |
มร.วิริออท ยังได้อธิบายถึงความสำเร็จในการบริหารบริษัทที่ มร.วิริออท และทีมงานได้ทำหลังจากเข้ารับตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการเมื่อเดือนมีนาคมปี 2552 ที่ผ่านมา รวมถึงกลยุทธ์ที่ไรมอน แลนด์ได้ให้ความสำคัญกับผู้ซื้อชาวไทยและกำลังซื้อของกลุ่มลูกค้าระดับบนภายในประเทศมากขึ้น โดยตั้งแต่กลางปี 2552 มร.วิริออทและทีมบริหารได้ปรับโครงสร้างของบริษัทให้เหมาะสมยิ่งขึ้น |
. |
ไม่ว่าจะเป็นการลดจำนวนพนักงานชาวต่างชาติ การลดงบประมาณด้านการบริหารจัดการ การโฆษณา และการตลาดถึงร้อยละ 55 การปรับโครงสร้างการกู้ยืม และลดต้นทุนกู้ยืมโดยรวมของไรมอน แลนด์ และการพัฒนาบริษัทด้าน บรรษัทภิบาล อีกทั้งบริษัทยังมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างขององค์กรโดยการซื้อหุ้นของโครงการของบริษัทจากผู้ถือหุ้นรายย่อย ซึ่งรวมถึงการประกาศท้อหุ้นที่เหลืออีกร้อยละ 15 ของโครงการเดอะริเวอร์ |
. |
บริษัทได้ดำเนินแผนการตลาดที่เน้นไปที่ผู้ซื้อภายในประเทศ รวมทั้งใช้กลยุทธ์การพัฒนาและขยายตลาดของไรมอน แลนด์ ไปยังกลุ่มลูกค้าระดับบน หรือเกรดเอมากยิ่งขึ้น ซึ่งรวมถึงทั้งคนไทย และชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย โดยมร.วิริออท ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า |
. |
“จากแผนการพัฒนาโครงการที่เริ่มต้นจากการซื้อที่ดิน การออกแบบ การตั้งราคาขาย และการโฆษณา ไรมอน แลนด์ได้เน้นและให้ความสำคัญต่อผู้ซื้อภายในประเทศเป็น เราเปลี่ยนทีมผู้บริหารใหม่เพื่อรองรับการตลาดรูปแบบใหม่ โดยให้ทีมผู้บริหารอาวุโสชาวไทยคอยดูแลด้านการขาย การตลาด และการวิจัย |
. |
รวมไปถึงให้สถาปนิกชาวไทยดูแลเรื่องการออกแบบตกแต่งห้องพักเพื่อให้เหมาะกับความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง ในระยะยาว ไรมอน แลนด์ มีแผนจะทำโครงการที่มีมูลค่า 2.5-5.5 พันล้านบาทประมาณหนึ่งถึงสองโครงการทุกปี และโครงการมูลค่าสูง 8-15 พันล้านบาท หนึ่งโครงการในทุกๆ สองปี” |