MJD มองตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับ Hi End โตต่อเนื่อง หลังความต้องการยังมีสูง พฤติกรรมลูกค้า ให้ความสำคัญคุณภาพมากกว่าราคา
นายสุริยน พูลวรลักษณ์ |
. |
MJD มองตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับ Hi – End โตต่อเนื่อง หลังความต้องการยังมีสูง พฤติกรรมลูกค้า ให้ความสำคัญคุณภาพมากกว่าราคา เชื่อไม่เกิดภาวะฟองสบู่ในตลาดคอนโดมิเนียมระดับพรีเมี่ยมแน่ เดินหน้าขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ ปักธงบุกทำเลลาดพร้าว พหลโยธิน และจตุจักร จากเดิมเกาะติดแนวรถไฟฟ้าย่านสุขุมวิท และสาทร พร้อมเตรียมเปิด 1 – 2 โครงการใหม่ มูลค่ากว่า 2 พันล้านบาทในปี 2554 |
. |
นายสุริยน พูลวรลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ MJD ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในโครงการที่อยู่อาศัยประเภทอาคารสูง หรือ คอนโดมิเนียมระดับ Hi–End เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังเติบโตต่อเนื่อง |
. |
โดยเฉพาะในตลาดระดับบน เนื่องจากความต้องการยังมีสูง ซึ่งลูกค้ากลุ่มดังกล่าวให้ความสำคัญด้านคุณภาพของโครงการมากกว่าด้านของราคา และพฤติกรรมการเลือกซื้อของลูกค้ายังให้ความสนใจกับโครงการที่อยู่ใจกลางเมือง ใกล้แนวรถไฟฟ้า และรถไฟใต้ดิน |
. |
ซึ่งโครงการของ บริษัทฯ ตอบโจทย์เรื่องดังกล่าวเป็นอย่างดี ขณะที่ภาพรวมของการแข่งขันตลาดระดับบนถือว่าไม่รุนแรงมากนัก เนื่องจากมีผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์จำนวนไม่มากที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ต่างจากตลาดทั่วไปที่การแข่งขันรุนแรงจากจำนวนคู่แข่งที่เพิ่มขึ้น |
. |
“ทุกโครงการของ “เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์” จะพิจารณารอบคอบในการลงทุนพัฒนาที่ดินแต่ละแปลงเพื่อเปิดโครงการใหม่ๆ ซึ่งเชื่อว่าในระยะสั้นโครงการอสังหาริมทรัพย์ในส่วนของ Luxury Condo นั้นจะยังไม่เกิดภาวะฟองสบู่ จากความต้องการที่ยังคงมีสูงต่อเนื่อง และหากประเมินการเปิดโครงการใหม่ของบริษัทฯ ช่วงที่ผ่านมาได้รับการตอบรับที่ดี |
. |
โดยปีนี้บริษัทฯ ได้เปิดโครงการคอนโดมิเนียมระดับพรีเมี่ยมใหม่ 3 โครงการ มูลค่ารวม 6.35 พันล้านบาท ประกอบด้วย โครงการ M พญาไท มูลค่า 1.85 พันล้านบาท, โครงการ M สีลม มูลค่า 2.2 พันล้านบาท และโครงการ Equinox พหล-วิภา มูลค่า 2.3 พันล้านบาท” นายสุริยน กล่าว |
. |
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2553 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2553 บริษัทฯ มีรายได้รวม 722.91 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 180.02 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้นร้อยละ 33.15 จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 542.89 ล้านบาท ขณะเดียวกันในไตรมาสนี้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 18.84 ล้านบาท และกำไรต่อหุ้น 0.03 บาท |
. |
ส่วนผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกปีนี้ (มกราคม – กันยายน 2553) บริษัทฯ มีรายได้รวม 2,121.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 396.09 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้นร้อยละ 22.96 จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 1,724.95 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 154.13 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.22 บาท |
. |
นายสุริยน กล่าวด้วยว่า แนวโน้มผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ปี 2553 คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นไปตามซีซั่นของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ยอดขายไตรมาสสุดท้ายจะขยายตัวโดดเด่น ซึ่งบริษัทฯ ได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดอย่างสม่ำเสมอ |
. |
โดยใช้กลยุทธ์การตลาดในเชิงรุก ทั้งการเปิดตัวโครงการใหม่ๆ และจัดกิจกรรมต่างๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ามากที่สุด โดยได้วางงบประมาณทางการตลาดอยู่ที่ประมาณ 1.5 – 2% ของยอดขายโครงการ |
. |
อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการในปี 2553 บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าการเติบโตของยอดขาย (Presale) จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มียอดขายเกือบ 2 พันล้านบาท |
. |
โดยยอดขายที่เพิ่มขึ้น มาจากการเปิดโครงการใหม่ 3 โครงการ จำนวนรวมกว่า 870 ยูนิต ที่ปัจจุบันบริษัทฯ มียอดขายอยู่เกือบ 2 พันล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 30 – 40% ของโครงการ และจะทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่องในอีก 2 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ โครงการปัจจุบันที่สร้างเสร็จพร้อมโอน ประกอบด้วยโครงการหลักคือ Watermark Tower A & B, Wind สุขุมวิท 23 และ Aguston สุขุมวิท 22 |
. |
ส่วนทิศทางธุรกิจในปี 2554 บริษัทฯ เตรียมเปิดโครงการใหม่อีก 1 - 2 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 2 พันล้านบาท โดยมีแผนกระจายทำเลเปิดโครงการใหม่ไปในแถบพื้นที่ลาดพร้าว พหลโยธิน และจตุจักร จากเดิมที่เกาะติดแนวรถไฟฟ้าในทำเลสุขุมวิท และสาทร |
. |
หลังจากประเมินว่าทำเลใหม่ดังกล่าวมีศักยภาพสูง เนื่องจาก มีอาคารสำนักงานจำนวนมาก โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจ ซึ่งมีโอกาสขยายฐานลูกค้าใหม่ที่เป็นกลุ่มลูกค้าระดับบนได้ โดยปัจจุบันได้ซื้อที่ดินในทำเลดังกล่าวพร้อมรอการพัฒนาแล้ว |