เนื้อหาวันที่ : 2010-11-02 11:02:58 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 622 views

"จรัมพร" เผย SET Index 1 พ.ย. ปิดที่ระดับสูงสุดในรอบ 14 ปี

ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ปิดที่ 1,003.24 สูงสุดในรอบ 14 ปี ชี้ผู้ลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศเชื่อมั่นศักยภาพ มั่นใจบริษัทจดทะเบียนไทยยังแข็งแกร่ง และยังให้ผลตอบแทนที่ดีสำหรับผู้ลงทุน

.

นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET Index) ที่ปรับขึ้นมาปิดที่ระดับ 1,003.24 จุด ในวันจันทร์ที่ 1 พฤศจิกายน 2553 ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปี ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับขึ้น 36% ในรูปเงินบาท และ 52% ในรูปเงินเหรียญสหรัฐ          

.

ซึ่งเมื่อคิดในรูปเงินเหรียญสหรัฐฯ จะพบว่าสูงสุดเมื่อเทียบกับทุกตลาดในภูมิภาค ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีและเป็นเครื่องชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนทั้งในและต่างประเทศต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ยังให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจ

.

SET Index ได้ปรับขึ้นมาเกิน 1,000 จุดนั้น เป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นว่าตลาดทุนไทยมีบริษัทจดทะเบียนที่มีคุณภาพ และมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงในตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังทำลายสถิติสูงสุดอีกหลายด้านนับตั้งแต่ก่อตั้ง (ณ วันที่ 29 ต.ค. 2553) มูลค่าการซื้อขายของผู้ลงทุนสูงถึงเฉลี่ยวันละ 26,957.81 ล้านบาท

.

แสดงให้เห็นว่าตลาดหุ้นไทยมีสภาพคล่องสูง ในขณะที่มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) ได้ทำสถิติสูงสุดมาอยู่ที่ 8.06 ล้านล้านบาท (เมื่อ 15 ต.ค. 53) คิดเป็น 84% ของ GDP                    

.

ในขณะที่จำนวนบัญชีที่มีการซื้อขาย (Active Accounts) ในตลาดหลักทรัพย์ฯได้เพิ่มขึ้นเป็น 178,000 บัญชีในเดือนกันยายน ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทั้งนี้ หากรวมจำนวนบัญชีทั้งหมดที่มีการลงทุนทั้งทางตรงและทางอ้อมในตลาดหลักทรัพย์ฯ ทั้งที่ลงทุนผ่านกองทุนรวม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนประกันสังคม และกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการแล้ว จะมีจำนวนบัญชีสูงถึงกว่า 15 ล้านบัญชี

.

นอกจากนี้ หากดูในเชิงลึก จะเห็นว่าการซื้อขายตราสารอนุพันธ์ได้ทำสถิติการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันสูงสุด นับตั้งแต่การจัดตั้งตลาดอนุพันธ์ โดยมีจำนวนสัญญาซื้อขาย 17,630 สัญญาต่อวัน (ณ วันที่ 29 ต.ค. 2553)

.

สำหรับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ปรับสูงขึ้นนี้ ส่งผลให้อัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E Ratio) ปรับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 15.40เท่า (ณ 29 ต.ค. 2553) ซึ่งส่งผลดีต่อบริษัทจดทะเบียนให้สามารถระดมทุนด้วยต้นทุนที่ต่ำ และเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะดึงดูดบริษัทให้เข้ามาจดทะเบียนมากขึ้น ในขณะที่บริษัทจดทะเบียนยังมีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง

.

โดยผลประกอบการ 6 เดือนแรกปีนี้ บริษัทจดทะเบียนมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นทุกกลุ่มอุตสาหกรรม โดยมูลค่ากำไรสุทธิและยอดขายเพิ่มขึ้น 34% และ 24% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ผลการดำเนินงานของหมวดธนาคารในไตรมาส 3/2553 ที่มีการประกาศตัวเลขก่อนสอบทานออกมา มีกำไรสุทธิ 30,142 ล้านบาท สูงที่สุดนับแต่ไตรมาส 2 ปี 2544