หัวใจของการปฏิรูป คือ การพัฒนาเศรษฐกิจ เติ้งได้ใช้ระบบตลาดสังคมนิยม เป็นกลไกในการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ ระบบตลาดแบบสังคมนิยมของจีน
ภาวะความไม่สมดุลของเศรษฐกิจโลกที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งได้กล่าวถึงอิทธิพลทางเศรษฐกิจของประเทศจีนที่กำลังก้าวเข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมาก ทำให้เกิดประเด็นศึกษาที่น่าสนใจว่า ปัจจุบันผู้กำหนดทิศทางเศรษฐกิจโลกได้เปลี่ยนมือจากประเทศสหรัฐอเมริกามาเป็นประเทศจีนแล้วหรือยัง เพราะการเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจของจีนในแต่ละครั้งล้วนแต่ส่งผลถึงการกำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ เป็นอย่างมาก ไม่เว้นแม้แต่ประเทศสหรัฐอเมริกาเอง ดังนั้น ทางคณะผู้เขียนจึงขอนำประวัติศาสตร์เศรษฐกิจของจีนในการก้าวเข้าเป็นผู้กำหนดทิศทางการดำเนินไปของเศรษฐกิจโลกมาบอกกล่าวให้ฟัง |
. |
ทุนนิยมแบบจีน |
จีน 1 ประเทศ 2 ระบบ โดยพัฒนาการเศรษฐกิจจาก เหมาเจ๋อตุง ถึง หูจิ่นเทา หลังจากที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนขึ้นครองอำนาจในปี 1949 เหมาเจ๋อตุง พยายามสร้างประเทศจีนให้เข้าสู่สังคมคอมมิวนิสต์t[1] ทั้งในแง่ชนชั้นและในแง่เศรษฐกิจ เหมาเองรังเกียจ คำว่า Development ซึ่งเป็นนิยามของทุนนิยม เหมาจึงใช้คำว่า Economic Construction หรือการเสริมสร้างทางเศรษฐกิจแทน พัฒนาการเศรษฐกิจหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบสังคมนิยม เหมาได้นำแนวคิดที่สั่งสมมายาวนานจากการต่อสู้ร่วมกับประชาชน แนวคิดดังกล่าวถูกแปรมาเป็นแผนพัฒนาเศรษฐกิจที่รัฐเป็นผู้วางแผนขึ้นมา ลัทธิเหมาอิสม์ กำเนิดขึ้นมาโดยเหมาเจ๋อตุงได้เสนอแนวคิด 3 ประการที่สำคัญในการเสริมสร้างเศรษฐกิจจีน แนวคิดทั้ง 3 ประการ คือ ความขัดแย้ง[2] การจัดองค์กร และการพึ่งพาตนเอง จีนในยุคของเหมาได้วางแผนเศรษฐกิจจากส่วนกลางในรูปของแผนพัฒนาเศรษฐกิจระยะ 5 ปี ( 1953 - 1957 )หลังจากนั้น จีนได้เข้าสู่ระยะก้าวกระโดดไกลครั้งใหญ่หรือ The Great Leap Forward ในช่วง ค.ศ 1958 - 1960 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเร่งพัฒนาทั้งเกษตรและอุตสาหกรรมโดยใช้แรงงานอันเหลือเฟือในภาคเกษตร และใช้เทคนิควิธีการผลิตแบบผสมในภาคอุตสาหกรรม ในระยะนี้รัฐได้ทุมเททรัพยากรไปในภาคอุตสาหกรรมหนัก โดยเฉพาะเหล็กกล้า แต่การพัฒนาดังกล่าว กลับล้มเหลวจนกลายเป็นวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ซ้ำยังประสบปัญหาภัยแล้งอีกด้วย ชาวจีนตกอยู่ในภาวะอดอยากขาดอาหารและเครื่องนุ่งห่ม ผลผลิตที่ลดต่ำทำให้ การส่งออกลดลง การว่างงานมีอัตราสูง และเศรษฐกิจตกต่ำ |
. |
จีนยังคงใช้การวางแผนเศรษฐกิจจากส่วนกลางเรื่อยมาจนกระทั่งประธานเหมาถึงอสัญกรรมในปี 1976 พรรคคอมมิวนิสต์จีน (CCP)ได้ก้าวเข้าสู่ผู้นำในรุ่นที่ 2 คือ เติ้ง เสี่ยว ผิง เติ้งเป็นผู้นำที่มีความคิดในลักษณะประนีประนอมโดยเขาเชื่อว่าเป้าหมายสำคัญที่สุด คือ การให้ประชาชนชาวจีนมีความเป็นอยู่ที่ดีไม่อดอยาก ประโยคที่สะท้อนแนวคิดที่ยืดหยุ่นในการพัฒนาเศรษฐกิจของเติ้ง คือ “ แมวสีอะไรนั้นไม่สำคัญสำคัญที่ว่าสามารถจับหนูได้” เติ้งเริ่มดำเนินนโยบาย 4 ทันสมัย ได้แก่ ภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และการป้องกันประเทศ โดยนโยบายดังกล่าวทำให้จีนเปิดประเทศสู่โลกภายนอกมากขึ้น ซึ่งเติ้งได้กำหนดยุทธศาสตร์ 3 ก้าว ได้แก่ การพัฒนาพลังการผลิต การเสริมสร้างพลังรวมของชาติ และการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน โดยแบ่งระยะเวลาของการพัฒนาออกเป็น 3 ระยะ ด้วยกัน คือ |
. |
ระยะที่ 1 (1981 - 1990) เป้าหมาย คือ จีนจะต้องมี GDP เพิ่มเป็น 2 เท่า และแก้ปัญหาการขาดแคลนอาหารและเครื่องนุ่งห่ม ระยะที่ 2 (1991- 1999) เป้าหมาย คือ จีนจะต้องเพิ่ม GDP เป็นอีก 2 เท่า และยกระดับสภาพความเป็นอยู่ของประชาชน ระยะที่ 3 (2000 – กลางศตวรรษที่ 21) เป้าหมาย คือ GDP ของจีนจะเติบโตเท่าเทียมกับประเทศที่พัฒนาแล้วและประชาชนมีฐานะร่ำรวยขึ้น |
. |
การปฏิรูปเศรษฐกิจของเติ้งตั้งแต่ทศวรรษที่ 80 เป็นต้นมานั้นยังคงยึดมั่นในหลักการพื้นฐาน 4 ประการ คือ หนทางสังคมนิยม ลัทธิ Marx ประชาธิปไตยของประชาชน และการนำของพรรคคอมมิวนิสต์จีนรวมทั้งดำเนินการปฏิรูป และเปิดกว้างในทุก ๆ ด้านทั้งในประเทศและต่างประเทศ เติ้งเสี่ยวผิง ได้ให้แนวทางในการพัฒนาสังคมจีนไว้ว่า สังคมจีนจะต้องเป็น สังคมเสี่ยวคัง หรือ A well off Society สังคมเสี่ยวคังในความหมายของเติ้ง คือ ความทันสมัยแบบจีนอันเป็นความมั่นคั่งอยู่ดีกินดี ความทันสมัยดังกล่าวไม่ได้ถูกจำกัดความจากชาติอื่นแต่เป็นความทันสมัยภายใต้ปรัชญาและแนวคิดของจีนเอง การปฏิรูปในทัศนะของเติ้ง คือ การปรับเปลี่ยนและการพัฒนาตัวเองให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นในระบบสังคมนิยม และการปฏิรูปก็คือการปฏิวัติทางสังคมที่ลึกซึ้ง เติ้งเชื่อว่าการปฏิรูปจะเป็นพลังสำคัญและเป็นแนวทางพื้นฐานในการพัฒนาสังคมของจีน จีนเริ่มเปิดประเทศมากขึ้นโดยให้ทุนต่างชาติเข้ามามากขึ้น ช่วงแรก ๆ ส่วนใหญ่เป็นทุนจีนโพ้นทะเลที่มาจาก ฮ่องกง ไต้หวัน และสิงค์โปร์ โดยเอกชนสามารถดำเนินธุรกิจได้ในฐานะเท่าเทียมกับรัฐวิสาหกิจ |
. |
ดังนั้น หัวใจของการปฏิรูป คือ การพัฒนาเศรษฐกิจ เติ้งได้ใช้ระบบตลาดสังคมนิยม เป็นกลไกในการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ ระบบตลาดแบบสังคมนิยมของจีน เปิดโอกาสให้เอกชนดำเนินธุรกิจการค้าส่วนตัว ประกอบอาชีพอุตสาหกรรมการผลิตได้อย่างเสรีถือว่าเศรษฐกิจภาคเอกชนมีความสำคัญเทียบเท่าเศรษฐกิจภาครัฐ เศรษฐกิจระบบตลาดสังคมนิยมมีลักษณะจำเพาะของจีนเป็นสำคัญ โดยอยู่ภายใต้รากฐานทางเศรษฐศาสตร์ที่ประกอบด้วย 4 ทฤษฎีหลัก คือ ทฤษฎีเศรษฐกิจตลาดสังคมนิยม ทฤษฎีความสัมพันธ์ทางการผลิต ทฤษฎีเศรษฐกิจภาครัฐ และทฤษฎีองค์ประกอบของรูปแบบเศรษฐกิจของประเทศ นอกจากนี้การปฏิรูปยังยึดรากฐานทฤษฎีสังคมนิยม 4 ทฤษฎี ได้แก่ ทฤษฎีความขัดแย้งพื้นฐานสังคมนิยม ทฤษฎีสังคมนิยมขั้นปฐม ทฤษฎีความขัดแย้งหลักในสังคมขั้นปฐม และทฤษฎีการปฏิรูป |
. |
แนวทางพื้นฐานที่สำคัญในการปฏิรูปเศรษฐกิจจีน คือ การกระจายอำนาจในการตัดสินใจ การปล่อยให้กลไกราคาทำหน้าที่จัดสรรทรัพยากรในการผลิต และ การเปิดประเทศ โดยในปี 1989 จีนได้กำหนดให้มณฑลทางใต้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ (Special Economic Zones หรือ SEZs)[1] อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนในช่วงปี 1981 – 1991 อยู่เฉลี่ยปีละ 8.9 % และเพิ่มมากกว่า 10% หลังปี 1991 |
. |
การพัฒนาเศรษฐกิจจีนในยุคของเติ้งเสี่ยวผิง ตั้งแต่ปี 1979 – 1989 เศรษฐกิจจีนขยายตัวในเชิงปริมาณอย่างมากจนทำให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อรุนแรงติดตามมา และนำไปสู่วิกฤตการณ์ทางการเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เหตุการณ์ปราบจลาจลของนักศึกษาที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ในปี 1989 ในปีเดียวกันนั้น เจียง เจ๋อ หมิน ได้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำพรรคต่อจากจ้าวจื่อหยาง ในยุคของเจียง เจียงยังคงดำเนินการปฏิรูปโดยมุ่งเป้าไปที่การปฏิรูปกลไกตลาดเป็นสำคัญ โดยจัดการความสัมพันธ์ระหว่างการพัฒนาที่มีเสถียรภาพอย่างถูกต้อง เจียงเน้นการปฏิรูป การพัฒนา และความมีเสถียรภาพเป็นหลักในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจ นอกจากนั้นช่วงเวลาดังกล่าวจีนได้ขยายขอบเขตการเปิดกว้างโดยเปิดประตูสู่การค้าการลงทุนมากยิ่งขึ้น โดยเร่งใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทั้งในประเทศและต่างประเทศ จีนยึดหลัก 2 ทรัพยากร 2ตลาด คือ จากต่างประเทศและในประเทศ หลักการดังกล่าวนำไปสู่การแก้ปัญหาการขาดแคลนทรัพยากรและปัญหาการว่างงาน ในช่วงเวลาที่เจียงเจ๋อหมินเป็นผู้นำ (1989- 2002) จีนสามารถคุมความร้อนแรงของเศรษฐกิจ (Overheat) ที่เกิดขึ้นในยุคของเติ้ง ควบคู่ไปกับการควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับที่ต่ำได้คือ ไม่เกิน 2% (จากเดิม 20%) |
. |
ในช่วงทศวรรษที่ 90 เจียงสามารถสร้างเสถียรภาพให้กับระบบเศรษฐกิจได้อย่างน่าทึ่ง ประกอบกับในปี 1997 ได้เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินในเอเชีย จีนใช้มาตรการทางการคลังและการเงินพร้อม ๆ กัน หรือรู้จักกันในชื่อ มาตรการหงกวนเถียวคัง[2] มาตรการดังกล่าวสามารถกระตุ้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจีนให้พ้นจากภาวะวิกฤตการเงินเอเชียได้ และยังส่งผลให้เศรษฐกิจจีนขยายตัวได้ต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 7 % |
. |
ปลายปี 2002 เจียงเจ๋อหมิน ได้ส่งมอบอำนาจให้ผู้นำพรรครุ่นที่ 4 คือ หู จิ่น เทา ภาระหน้าที่ของหู คือ สานต่อนโยบายปฏิรูปและเปิดกว้างโดยดำเนินการพัฒนาเศรษฐกิจให้รุดหน้า หูจิ่นเทา ได้กำหนดแนวคิดในการสร้างสังคมเสี่ยวคังของเติ้งให้เป็นสังคมจีนที่อยู่ดีกินดีรอบด้าน ภายใน 20 ปี (2001- 2020) โดยตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจสังคมของจีนฉบับที่ 10 (2001 - 2005) จีนวางแผนในการปรับภาวะความอยู่ดีกินดีของประชาชนในชาติอย่างรอบด้าน โดยถือว่าประชาชนเป็นเจ้าภาพร่วมในการพัฒนาประเทศการสร้างความมั่นคงให้แก่ชีวิตที่สามารถอยู่ดีกินดีรอบด้าน คือ |
. |
1.การพัฒนาเศรษฐกิจจีนในปี 2010 ให้มี GDPโตเป็น 2 เท่าของปี 2000 และขนาดเศรษฐกิจของปี 2020 โตเป็น 2 เท่าของปี 2010 โดยในปี 2020 รายได้ต่อหัวของประชากรจีนจะอยู่ที่ 3,000 ดอลลาร์ ปัจจุบันรายได้ต่อหัวของประชากรจีนอยู่ประมาณ 1,000 ดอลลาร์ต่อปี 2.พัฒนาระบบการเมืองแบบประชาธิปไตยสังคมนิยมของจีนให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยดำเนินการปกครองด้วยระบบนิติธรรมกับระบบคุณธรรมให้ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ สิทธิประโยชน์ขั้นพื้นฐานของประชาชนจีนจักต้องได้รับความคุ้มครองอย่างแท้จริง 3.ยกระดับคุณธรรมและคุณภาพทางจิตใจของประชาชนในชาติรวมถึงยกระดับการศึกษาของประชาชนทุกชนชาติและพัฒนาสุขภาพทางกายและใจของประชาชนให้ดีขึ้น 4.เสริมสร้างศักยภาพการพัฒนาอย่างยั่งยืน เน้นประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างสมดุล |
. |
โดยสรุปแล้วสังคมจีนที่ อยู่ดีกินดีรอบด้าน จะต้องประกอบด้วยความเจริญทางวัตถุและทางจิตใจและระบบการบริหารจัดการของรัฐที่ดีภายใต้ระบบนิเวศสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน ก่อนหน้าที่เจียงเจ๋อหมินจะวางมือ เขาได้นำเสนอหลักคิดสำคัญเรื่อง 3 ตัวแทน เพื่อเป็นแนวทฤษฎีชี้นำการพัฒนาศักยภาพการบริหารงานของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในปัจจุบัน สาระสำคัญของทฤษฎี 3 ตัวแทน คือ พรรคคอมมิวนิสต์จีนที่บริหารประเทศจะต้อง |
. |
1.เป็นตัวแทนความเรียกต้องการของพลังการผลิตที่ก้าวหน้า 2.เป็นตัวแทนทิศทางพัฒนาการของวัฒนธรรมที่ก้าวหน้า 3.เป็นตัวแทนผลประโยชน์ของปวงมหาชน |
. |
พัฒนาการเศรษฐกิจของจีนตั้งแต่ปี 1949 ถึงปัจจุบันสะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนแปลงในแง่ของการปรับตัว โดยเฉพาะพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่กุมบังเหียนจีนมาตลอด จีนยังเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ที่มีการปกครองแบบสังคมนิยม แต่จีนเลือกที่จะนำระบบเศรษฐกิจแบบตลาดมาใช้ เศรษฐกิจแบบตลาดสังคมนิยมของจีนมีลักษณะเฉพาะตัว ทั้งนี้ผู้นำพรรคในแต่ละยุคต่างมีแนวคิดในการพัฒนาประเทศที่แตกต่างกันไป มาถึงวันนี้จีนกำลังจะกลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกในศตวรรษที่ 21 ภายใต้นิยามคำว่า 1 ประเทศ 2 ระบบ |
. |
ศักยภาพในการพัฒนาเศรษฐกิจจีน |
การปฏิรูปเศรษฐกิจภายใต้นโยบาย 4 ทันสมัยของเติ้งเสี่ยวผิง ตั้งแต่ปี 1979 ส่งผลให้เศรษฐกิจจีนเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแสดงให้เห็นศักยภาพในการพัฒนาเศรษฐกิจจีนทั้งในด้านทรัพยากรที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งจีนมีทรัพยากรถ่านหินเหลือเฟือ หรือทรัพยากรมนุษย์ นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นศักยภาพของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในการบริหารจัดการประเทศให้ก้าวหน้ารุ่งเรือง |
. |
พรรคคอมมิวนิสต์จีนยังคงยึดมั่นในหลักการของลัทธิคอมมิวนิสต์ ขณะเดียวกันก็มองเศรษฐกิจตลาดเป็นเครื่องมือหรือกลไกที่สามารถนำมาใช้ได้ในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมของประเทศให้ก้าวสู่ความทันสมัยและประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีรอบด้าน ดังนั้นเศรษฐกิจแบบตลาดสังคมนิยม แบบจีนจึงมีความแตกต่างจากเศรษฐกิจตลาดแบบทุนนิยม คือ เศรษฐกิจตลาดสังคมนิยมตั้งอยู่บนฐานของส่วนรวม มิใช่ฐานของปัจเจกชน ดั่งเช่น ทุนนิยม เศรษฐกิจที่ตั้งบนฐานของส่วนรวมประกอบด้วย วิสาหกิจเอกชนและรัฐวิสาหกิจจะมีบทบาทในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจ โดยรวมขณะเดียวกันระบบตลาดสังคมนิยมจะมุ่งเน้นความมั่งคั่งร่วมกัน ความมั่งคั่งร่วมกันนี้ผู้ใดมั่งคั่งก่อน หรือเขตใดมั่งคั่งก่อนจะต้องช่วยเหลือเกื้อกูลส่วนอื่น ๆ ในสังคมด้วย |
. |
ในยุคของเจียงเจ๋อหมิน จีนสามารถสำแดงศักยภาพในการพัฒนาเศรษฐกิจได้ชัดเจน สาเหตุประการสำคัญมาจากนโยบาย 4 มันสมัย และระบบเศรษฐกิจตลาดในการจัดสรรทรัพยากรรวมถึงการเปิดกว้างให้นักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษ ขณะเดียวกันพรรคคอมมิวนิสต์จีนมีความชาญฉลาดในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ หรือรู้จักกันในนามของมาตรการหงกวนเถียวคัง[1] เป็นกลไกการควบคุมการทำงานของเศรษฐกิจตลาดในระดับองค์รวมให้มีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันสามารถปรับและควบคุมให้เศรษฐกิจจีนพัฒนาไปอย่างมีเสถียรภาพ พรรคคอมมิวนิสต์จีนในยุคของเจียงสามารถทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจขยายตัวในเชิงคุณภาพมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันก็ไม่มีปัญหาเงินเฟ้ออีกทั้งจีนสามารถรับมือโรคต้มยำกุ้งในปี 1997 ที่ระบาดจากไทยโดยจีนไม่ต้องลดค่าเงินหยวน |
. |
การมีจำนวนประชากรจำนวนมากของจีนก็ถือเป็นศักยภาพในการพัฒนาตลาดภายในประเทศ รัฐบาลจีนสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจภายใน โดยลดการพึ่งพาตลาดการส่งออกภายนอกได้ ขณะที่จำนวนประชากรที่มากก็เป็นตลาดใหญ่ที่ดึงดูดนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศได้ จีนยุคเติ้งและเจียง จึงหันมาเปิดรับการลงทุนจากต่างประเทศ การลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ หรือ FDI ทำให้จีนเรียนรู้และดูดซับเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้อย่างรวดเร็ว สิ่งเหล่านี้สะท้อนศักยภาพในการพัฒนาเศรษฐกิจจีนเช่นกัน |
. |
หลินอี้ฟู[2] นักเศรษฐศาสตร์จีนยุคปฏิรูปเศรษฐกิจได้กล่าวถึงพัฒนาการเศรษฐกิจจีนไว้ในหนังสือชื่อ จงกั๋วจิงจี้ก่ายเก๋ออวี๋ฟาจ่าน หรือการปฏิรูปและพัฒนาการเศรษฐกิจของประเทศจีนโดยหลินได้สรุปภาพรวมการพัฒนาไว้ ดังนี้ |
1.การพัฒนาเศรษฐกิจจีนในยุคของเหมา (1949 - 1979) เน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมหนักก็เพื่อตามประเทศมหาอำนาจตะวันตกให้ทันแต่กลับล้มเหลวทั้งในแง่ประสิทธิภาพและประสิทธิผลทั้งนี้สาเหตุหนึ่งมาจากการวางแผนที่ผิดพลาดจากส่วนกลาง 2.การพัฒนาเศรษฐกิจยุคใหม่หรือยุคปฏิรูป(ตั้งแต่ปี 1979 เป็นต้นมา) เติ้งเสี่ยวผิงได้เริ่มต้นพัฒนาเศรษฐกิจในระดับจุลภาคโดยรัฐกระจายอำนาจสู่มวลชนให้ชุมชนในระดับครอบครัวมีอำนาจในการตัดสินใจในการผลิตมากที่สุด โดยได้รับสิทธิประโยชน์นอกเหนือจากการขายหรือส่งมอบให้แก่รัฐอย่างเต็มที่ เป็นผลให้เกิดการขยายตัวของพลังการผลิต การผลิตที่ให้กำไรเป็นแรงกระตุ้นในการขยายตัวการผลิตและการลงทุนที่หลากหลายและต่อเนื่อง 3.ความได้เปรียบที่สำคัญของเศรษฐกิจจีน คือ มีแรงงานจำนวนมาก เมื่อมีมากทำให้แรงงานมีราคาถูก 4.การปฏิรูปเศรษฐกิจจีนยังอยู่ในระยะเริ่มต้นกว่าจะสัมฤทธิผลต้องใช้เวลานาน การปฏิรูปเศรษฐกิจที่เริ่มจากระดับจุลภาคจะนำไปสู่การปฏิรูปในระดับมหภาคโดยการครอบครองทรัพย์สินของรัฐอย่างรวมศูนย์จะค่อย ๆ น้อยลงไป ขณะเดียวกันการให้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินกับประชาชนจะทำให้เศรษฐกิจขยายตัว ประชาชนจะมีอำนาจซื้อมากขึ้นปัญหาที่จะตามมา คือ การแย่งชิงทรัพยากรในอนาคต 5.การพัฒนาเศรษฐกิจจีนโดยตัวเองมีกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้อยู่แล้ว รัฐบาลต้องสำนึกในเป้าหมายที่แท้จริงของการปฏิรูปโดยการปฏิรูปเริ่มต้นที่ระดับเล็กสุด การพัฒนากลไกการกระจายอำนาจการตัดสินใจสู่ภาคประชาชน ภาคประชาชนจะเป็นตัวแปรสำคัญที่นำไปสู่การขยายการลงทุนและเป็นปัจจัยกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง |
. |
เมื่อวิเคราะห์ถึงความได้เปรียบของการพัฒนาเศรษฐกิจจีน เราพบว่า ความได้เปรียบดังกล่าว ซึ่งนำไปสู่ศักยภาพในการพัฒนาเศรษฐกิจจีนประกอบด้วย |
1.การบริหารต้นทุนที่ดีในด้าน Research and Development 2.การบริหารความสามารถในการประกอบการที่มีประสิทธิภาพ 3.การปรับโครงสร้างองค์กรให้คล่องตัว 4.การบริหารการตลาดที่ดี โดยพยายามสร้างชื่อยี่ห้อสินค้าตนเองตลอดจนทำให้สินค้าตนเองมีความแตกต่างได้ง่าย 5.การบริหารการเงินในกระแสการเปิดเสรีการเงินของโลก แม้ว่าการเปิดเสรีทางการเงินจะทำให้การเคลื่อนย้ายเงินทุนมีตลอดเวลาแต่การบริหารความเสี่ยงยังเป็นสิ่งจำเป็นวิสาหกิจจีนส่วนใหญ่ต้องเรียนรู้การบริหารความเสี่ยงมากขึ้นทั้งน้าภาคการเงินของจีนยังมีปัญหาอยู่และอาจจะเป็นจุดอ่อนที่สำคัญในการทำลายระบบเศรษฐกิจแบบตลาดของจีนในอนาคตได้ 6.การบริหารนวัตกรรมใหม่ ๆ โดยเฉพาะในแง่เทคโนโลยี จีนให้ความสำคัญกับการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นอย่างมาก โดยในปี 2000 จีนลงทุนในค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์ถึง 89,000 ล้านหยวน รวมทั้งจัดตั้งเขตวิทยาศาสตร์ไฮเทค[3] จำนวน 53แห่ง โดยจีนเองสามารถทำรายได้จากการขายผลงานทางวิทยาศาสตร์ถึง12,000 ล้านหยวน 7.การบริหารข้อมูลข่าวสารที่มีประสิทธิภาพ ปัจจุบันจีนก้าวสู่เศรษฐกิจอินเทอร์เน็ต เฉกเช่นเดียวกับประเทศต่างๆทั่วโลก ตัวเลขล่าสุดยืนยันว่าจีนเป็นประเทศที่มีผู้ใช้อินเตอร์เน็ตเป็นอันดับสองของโลกรองจากอเมริกา |
. |
จีนกับเขตเศรษฐกิจพิเศษ |
ก็เป็นอีกศักยภาพในการพัฒนาเศรษฐกิจจีน โดยเป็นจุดดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศในยุคของเติ้งได้เลือกเขตเศรษฐกิจพิเศษแถบเมืองชายฝั่งทางตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งได้แก่ เซินเจิ้น จูไห่ ซ่านโถว และเซียเหมิน โดยมุ่งดึงทุนจากฮ่องกง หลังจากนั้นจีนได้เปิดเขตเศรษฐกิจพิเศษเพิ่มขึ้นตั้งแต่ภาคตะวันออกไปจนถึงทางเหนือ จนกระทั่งการเปิดเซี่ยงไฮ้ ให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษโดยกำหนดเขตตะวันออกของแม่น้ำหวงผู่ หรือผู่ตง ให้เป็นพื้นที่รองรับการลงทุน เขตผู่ตงมีเป้าหมายในการเป็นเขตเศรษฐกิจที่มีคุณภาพและเป็นศูนย์กลางการเงินการธนาคารและอุตสาหกรรมไฮเทคของจีน ปัจจุบันเขตเศรษฐกิจพิเศษที่สำคัญของจีน ได้แก่ เขตสามเหลี่ยมปากแม่น้ำฉางเจียงที่มีนครเซี่ยงไฮ้เป็นศูนย์กลาง และเขตสามเหลี่ยมปากแม่น้ำจูเจียงที่มีนครกวางโจว และเซินเจิ้นเป็นแกน รวมถึงแถบชายฝั่งทะเลและภาคพื้นส่วนในของประเทศ เช่น ฉงชิง-เฉินตู |
. |
โดยสรุปแล้วศักยภาพของการพัฒนาเศรษฐกิจจีน เกิดขึ้นจากปัจจัยหลายประการทั้งในแง่ของการดำเนินนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจในสมัยเติ้ง และการควบคุมเศรษฐกิจให้มีเสถียรภาพในสมัยของเจียง สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นความสามารถของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในการบริหารจัดการเศรษฐกิจแบบตลาดสังคมนิยมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันประชากรจีนจำนวนมากก็ถือเป็นศักยภาพอย่างหนึ่งเช่นกัน เพราะจำนวนประชากรที่มากนอกจากจะทำให้จีนมีแรงงานเหลือเฟือแล้ว ยังทำให้ค่าแรงมีราคาถูกด้วย สิ่งเหล่านี้จึงจูงใจให้นักลงทุนจากต่างชาติย้ายฐานการผลิตมายังจีน ประกอบกับจีนเปิดประเทศให้ต่างประเทศมาลงทุนการมีประชากรมากย่อมเป็นแรงดึงดูดอีกทางให้นักลงทุนแสวงหาตลาดที่มีขนาดใหญ่ ปัจจัยอีกประการที่มีผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจจีน คือ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รัฐบาลจีนลงทุนในการวิจัยวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีอย่างมากเพื่อสามารถพึ่งพาตัวเองได้โดยลดการขาดดุลทางการค้าจากการนำเข้าเทคโนโลยีราคาแพง ปัจจัยสำคัญอีกประการที่แสดงศักยภาพการพัฒนาเศรษฐกิจจีน คือ เขตเศรษฐกิจพิเศษ ที่รัฐบาลจีนส่งเสริมให้มีการลงทุนโดยให้สิทธิพิเศษกับนักลงทุน สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของจีนในการพัฒนาเศรษฐกิจ |
. |
[1] การสร้างสังคม communist ของเหมาเจ๋อตุงประกอบด้วยหลัง 4 ประการคือการต่อสู้ความไม่เห็นแก่ตัว การเข้าร่วมอย่างแข็งขัน( active participation ) และการไม่ส่งเสริมความเป็นผู้เชี่ยวชาญ [2] เหมาสรุปความขัดแย้งไว้ 3 ประการ คือ ความขัดแย้งระหว่างเมืองกับชนบท ระหว่างอุตสาหกรรมกับเกษตรกรรม ระหว่างแรงงานที่ใช้สนองกับแรงงานที่ใช้กำลังกาย |
[3] SEZs จะให้สิทธิพิเศษในด้านต่างๆแก่นักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนตลอดจนให้อิสระในการลงทุน [4] มาตรการหงควนเถียวคัง หรือ กลไกการควบคุมการทำงานของเศรษฐกิจแบบตลาดในระดับองค์รวมที่มีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่นในช่วงเศรษฐกิจขาลง รัฐบาลจีนดำเนินนโยบายการคลังแบบขาดดุลโดยกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศและดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายโดยลดดอกเบี้ยแล้วเปิดตลาดซื้อบ้านเงินผ่อนเป็นต้น |
[5] หงกวนเถียวคัง มีความคล้ายคลึงกับการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจแบบ Discretionary Policy หรือดำเนินนโยบายแบบจงใจทั้งนี้รัฐจะต้องคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจอย่างแม่นยำ [6] ปัจจุบันนักเศรษฐศาสตร์จีนชื่อดังมีอย่างน้อย 3 คนที่ศึกษาผลงาน คือ หวูจิ้งเหลียง หูอันกัง และหลินอี้ฟู [7] เขตจงกวานชุน ในปักกิ่งเป็นเขตที่รัฐบาลจีนสนับสนุนให้มีการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง กล่าวกันว่า จงกวานชุนก็คือซิลิคอนวัลเลย์ของจีนนั่นเอง |