เนื้อหาวันที่ : 2010-10-12 10:16:40 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 602 views

ภาวะเศรษฐกิจประจำวันที่ 12 ต.ค. 2553

1. กระทรวงแรงงานเร่งผลักดันการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลแรงงานหรือ "labour bank"

-  กระทรวงแรงงานเร่งผลักดันการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลแรงงานหรือ "labour bank" จากที่ผ่านมาข้อมูลด้านแรงงานจะยังกระจายกันอยู่ตามหน่วยงานต่างๆ โดยกระทรวงแรงงานได้ให้ความสำคัญด้านแรงงาน โดยในเบื้องต้นจะมีการจัดตั้งให้เป็นหน่วยงานที่เป็นศูนย์ข้อมูลแรงงานแห่งชาติ และจะทำให้มีความพร้อมในการให้บริการจัดหางานของผู้ใช้แรงงานและสถานประกอบการและการพัฒนาด้านฝีมือแรงงาน

.

โดยแผนงานขั้นต่อไปในอนาคตศูนย์ข้อมูลแรงงานนี้จะบูรณาการด้านข้อมูลแรงงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการผลิตและจัดหากำลังแรงงานที่มีคุณภาพ ล่าสุดกระทรวงแรงงานพร้อมนำเสนอโครงการให้สำนักงานงบประมาณแล้วเพื่อนำเข้าครม.พิจารณาอนุมัติต่อไป

.

-  สศค. วิเคราะห์ว่า ปัจจุบันตลาดแรงงานไทยอยู่ในภาวะที่ค่อนข้างตึงตัว โดยล่าสุดในเดือนก.ค. 53 อัตราการว่างงานอยู่ที่ร้อยละ 0.9 ของกำลังแรงงานรวม ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบปี นอกจากนี้ ยังพบว่าในภาคการผลิต เริ่มประสบกับปัญหาการขาดแคลนแรงงานแล้ว

.

ดังนั้น การจัดตั้งศูนย์ข้อมูลแรงงานจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อทั้งผู้ประกอบการและแรงงาน เนื่องจากจะ ทำให้สามารถวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับตลาดแรงงานเพื่อลดผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ทางเศรษฐกิจได้ทันท่วงที  รวมทั้งยังจะสามารถวางแผนในการผลิตแรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน

.

2. ดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อน ราคาสินค้าโภคภัณฑ์พุ่ง

-  สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ราคาทองคำในสัปดาห์นี้ทะยานขึ้นทำสถิติใหม่ทุกวัน หลังจากที่สินทรัพย์ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ยังคงปรับค่าลดลง ทำให้มีการลงทุนเพิ่มขึ้นในตลาดทองคำ กระทั่งราคาทองคำปรับตัวขึ้นไปยืนอยู่ที่ระดับ 1,357.65 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์

.

ส่วนราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกก็ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยราคาในตลาดล่วงหน้าไนเม็กซ์ เบรนท์ ดูไบ และเวสเท็กซัสปรับตัวขึ้นไปอยู่ที่ 83.71 84.84 82.25 และ 83.21 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ

.

-  สศค. วิเคราะห์ว่า การอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังส่งผลให้เงินบาทปรับตัวในทิศทางที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ประกอบการส่งออกหลายสาขาได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาท

.

โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจที่มีการส่งออกที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ และยุโรป อาทิ เสื้อผ้าสำเร็จรูป ผลไม้กระป๋อง กุ้งสดและแช่แข็ง อัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น ทั้งนี้ โครงสร้างเศรษฐกิจไทยมีการพึ่งพาการส่งออกกว่าร้อยละ 50 ของ GDP และพึ่งพารายได้เงินตราต่างประเทศ (ทั้งส่งออกสินค้าและบริการ) กว่าร้อยละ 60 ของ GDP

.

3. ผู้นำกระทรวงเศรษฐกิจ-ธนาคารกลางทั่วโลกยังไม่บรรลุข้อตกลงแก้ปัญหาค่าเงิน

-  ผู้นำกระทรวงเศรษฐกิจและผู้ว่าการธนาคารกลางทั่วโลกเข้าประชุมประจำปีที่จัดโดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ที่กรุงวอชิงตันดีซี  โดยต่างสนับสนุนการประสานงานร่วมมือกัน แต่ยังไม่สามารถตกลงนโยบายที่เป็นรูปธรรมได้ อีกทั้งยังคงสนับสนุนนโยบายค่าเงินอ่อนตัวเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ

.

อย่างไรก็ตาม ผู้นำกระทรวงเศรษฐกิจและผู้ว่าการธนาคารกลางต่างมองว่าค่าเงินหยวนปัจจุบันอ่อนค่าเกินไป อีกทั้งมองว่าอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำในประเทศที่พัฒนาแล้วเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่เงินทุนไหลเข้าล้นภูมิภาคเอเชีย

.

-  สศค. วิเคราะห์ว่า ปัญหาค่าเงินแข็งค่าเป็นปัญหาที่ประเทศต่างๆ โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนาที่พึ่งพาการส่งออกสูงกำลังประสบอยู่ โดยตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ค่าเงินในภูมิภาคเอเชียต่างแข็งค่าขึ้นโดยทั่วหน้า โดยเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐแล้ว ค่าเงินริงกิตมาเลเซีย วอนเกาหลี รูปีอินเดีย และเปโซฟิลิปปินส์ แข็งค่าขึ้นร้อยละ 9.5 4.2 5.3 และ 6.2 ตามลำดับ

.

ทั้งนี้ เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังคงเปราะบาง ประกอบกับเศรษฐกิจยุโรปและญี่ปุ่นที่ยังไม่ฟื้นตัวดีนัก ยังคงเป็นอีกปัจจัยที่ผลักดันให้เงินทุนไหลเข้าประเทศเศรษฐกิจใหม่ และทำให้ค่าเงินในภูมิภาคเอเชียแข็งค่าขึ้น  จึงมีความเป็นไปได้ว่า ประเทศต่างๆในเอเชียอาจปรับเข้าสู่การเติบโตที่สมดุลมากขึ้น โดยมีเศรษฐกิจที่พึ่งพาอุปสงค์จากต่างประเทศที่ลดลง

.
ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง