เนื้อหาวันที่ : 2010-10-01 12:07:29 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1418 views

"สร้างสมดุล" ทิศทางที่ท้าทาย อุตฯไทยในยุคโลกหมุนเร็ว

เมื่อโลกหมุนเร็วขึ้นจำเป็นต้องปรับตัวให้ทันจึงจะอยู่รอดได้มิติการขับเคลื่อนประเทศชาติโดยภาคอุตสาหกดรรมก็เช่นกัน ความเปลี่ยนแปลงที่มีขึ้น คือความท้าทายที่ต้องตั้งรับให้ทัน

รายงานพิเศษ โดย สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

..

.

เมื่อโลกหมุนเร็วขึ้นจำเป็นต้องปรับตัวให้ทันจึงจะอยู่รอดได้มิติการขับเคลื่อนประเทศชาติโดยภาคอุตสาหกดรรมก็เช่นกัน ความเปลี่ยนแปลงที่มีขึ้น คือความท้าทายที่ต้องตั้งรับให้ทัน พร้อมกันนั้นจะต้องเดินหน้าในเชิงรุกอย่างมีชั้นเชิง

.

เพราะอุตสาหกรรมไทยหลายสาขาติดเทอร์โบว์ไปแล้ว ขีดความสามารถการแข่งขันรุดเหนือคู่แข่งไปหลายก้าว แต่ยังมีอีกบางกลุ่มที่ต้องปรับทิศทางเพื่อรับความเปลี่ยนแปลง จะทำอย่างไรให้เกิดึความสมดุลได้นั้นย่อมเป็นเรื่องที่ต้องรวมกันหาทางออกที่สมดุล

.

สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม หรือ สศอ.กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นหน่วยงานที่เปรียบได้กับกุนซือภาคอุตสาหกรรมของประเทศที่มีส่วนสร้างสรรนโยบายที่ดี สำหรับขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมให้ไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน ได้จัดสัมมนาใหญ่ประจำปี OIE Forum : ความท้าทายอุตสาหกรรมไทยรับมือเศรษฐกิจโลกเปลี่ยนแปลง เพื่อระดมความคิดเห็นสู่การขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมไทยอย่างยั่งยืน ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทคบางนา ซึ่งมีข้อคิดเห็นที่น่าสนใจยิ่ง

.

“สร้างความสมดุล มีเสถียรภาพ คือ ความยั่งยืนของภาคอุตสาหกรรมไทย” วาทะเด็ด ที่นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวกับผู้ร่วมสัมมนานับพันคนที่นั่งฟังปาถกถาพิเศษในเวทีนั้น โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสวาหกรรมได้ชี้แจงถึงทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมไทยจากนี้ไปอย่างน่าสนใจว่า

.

“การเติบโตอย่างมีเสถียรภาพและเกิดอย่างสมดุลเป็นปัจจัยสำคัญของการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ยั่งยืน เสถียรภาพและการเติบโตทางเศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรม ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ ภาคอุตสาหกรรมได้ปรับตัวในช่วงวิกฤต โดยได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐในแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ ระยะที่ 1 (Stimulus  Package 1 :  SP1)

.

ทำให้เกิดการจ้างงานในภาค อุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นและกลับสู่ภาวะปกติประกอบกับรัฐบาลมีนโยบายลดภาระแก่ประชาชน ผู้มีรายได้น้อย วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม วิสาหกิจชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกทำให้สามารถเพิ่มอำนาจซื้อแก่เศรษฐกิจภายในประเทศ 

.

รวมทั้งแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ  ระยะที่ 2 (Stimulus  Package 2 : SP 2)  ที่รัฐบาลได้เน้นโครงการลงทุนใน 7 สาขาหลัก  ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม อาทิ การสร้างความมั่นคงด้านอาหารและพลังงาน  การรักษาสิ่งแวดล้อม การเพิ่มประสิทธิภาพทางภาคเกษตรและอุตสาหกรรม การพัฒนาคุณภาพการศึกษาเพื่อรองรับความต้องการของผู้ใช้กำลังแรงงาน การสร้างรายได้ใหม่จากเศรษฐกิจสร้างสรรค์”

.

ขณะที่กระทรวงอุตสาหกรรม ได้กำหนดยุทธศาสตร์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ยั่งยืนโดยมียุทธศาสตร์การเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการและภาคอุตสาหกรรมในการแข่งขันและการสร้างความเชื่อมโยงสู่พื้นที่และตลาดอาเซียน ภาคอุตสาหกรรมควรใช้รูปแบบการผลิตแบบเฉพาะที่หลากหลาย (Niche   Market)  หรือผลิตแบบ Customization   Production ควบคู่กับการผลิตแบบ Mass  Production 

.

เนื่องจากการแข่งขันด้านการผลิตและการค้าโลกจะทวีความเข้มข้นยิ่งขึ้นโดยเฉพาะในสินค้าระดับล่าง อย่างไรก็ดีโอกาสในการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมยังมีอีกมากจากการรวมกลุ่มตามกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี เช่น ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (Asian Economic Community : AEC)  ซึ่งจะมีผลบังคับใช้อย่างสมบูรณ์ทั้ง 10 ประเทศ ในปี พ.ศ. 2558  ทำให้ภาษีระหว่างกันเป็นศูนย์

.

จึงเป็นโอกาสของภาคอุตสาหกรรมไทยที่จะก้าวสู่เศรษฐกิจอาเซียนและเศรษฐกิจโลก แนวความคิดอุตสาหกรรมสร้างสรรค์จึงมีบทบาทสำคัญต่อการเปลี่ยนผ่านจากอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนโดยใช้ปัจจัยการผลิต (Factor Driven Industries) เป็นอุตสาหกรรม  ที่ขับเคลื่อนโดยนวัตกรรม (Innovation  Driven  Industries )

.

ซึ่งอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ที่สร้างคุณค่า (Value Creation) แก่ผลิตภัณฑ์จะต้องอาศัยการศึกษาที่มุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนา การออกแบบและการสร้างตราสินค้า ต้องมีการสร้างสภาพแวดล้อม ที่เอื้อให้เกิดการคิดค้น พัฒนาสินค้า กระบวนการผลิต ก่อให้เกิดเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ มีการให้ความสำคัญและดูแลแรงงานที่เหมาะสมเพราะเทคโนโลยีและการพัฒนาสิ่งใหม่ส่วนใหญ่เกิดจากแรงงาน

.

สุดท้ายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้สรุปทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ยั่งยืนอย่างน่าสนใจว่า “การพัฒนาให้ภาคอุตสาหกรรมมีการเติบโตอย่างมีเสถียรภาพและสมดุล เป้าหมายก็คือการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันจากการเพิ่มประสิทธิภาพและผลิตภาพ

.

การทำให้อุตสาหกรรมเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและชุมชน เป็นที่ยอมรับของลูกค้าคือผู้ซื้อ ทั้งในตัวสินค้าและกระบวนการผลิต เกิดการสมดุลทั้งในด้านการจัดสรรผลตอบแทนแก่ปัจจัยการผลิตต่าง ๆ  และสมดุลของการบริหารจัดการทรัพยากร”

.

ขณะที่ ดร.สุวิทย์ เมษิณทรีย์ ผู้อำนวยการ SIGA สถาบันศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวในเวทีเดียวกันถึงการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมอย่างน่าสนใจว่า “โลกแห่งการเปลี่ยนแปลง ณ ขณะนี้เป็นปัจจัยที่ท้าทายเป็นอย่างยิ่ง จากนี้ไปไม่ว่าจะอยู่จุดใดของโลก สามารถเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมได้ทั้งสิ้น  

.

โดยอารยธรรมของโลกเปลี่ยนแปลงเร็วมาก  ผลจากการสร้างสรรค์ ณ ที่หนึ่งจะส่งผลกระทบไปอีกที่หนึ่ง  โลกจึงเต็มไปด้วย การเชื่อมโยง  ปฎิสัมพันธ์  การเคลื่อนย้ายคน สินค้า  การถ่ายเทเทคโนโลยีการผลิต  

.

ดังนั้น การคิดในเชิงนโยบาย หรือการคิดในเชิงสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์เพื่อสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างทั่วถึง หากจะถามว่าโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร ต้องมองย้อนหลังไป 20 ปี  เราจะเผชิญกับวิกฤติตลอดเวลา  แต่ว่าวิกฤตจะมากหรือน้อย  จากนี้ไปเราจะพบกับวิกฤตตลอดเวลา  การเติบโตจะโตช้ามาก  จะเกิดปัญหาส่วนเกินกำลังการผลิต  แต่ละประเทศจะปกป้องตัวเองมากขึ้น  เรื่องเสรีทางการค้าจะเป็นประเด็นหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั่วโลก”

.

ดร.สุวิทย์ ให้มุมมองต่อการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมที่สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงอีกว่า  สิ่งที่อุตสาหกรรมไทยจะต้องทำ  เพื่อก้าวพ้นกรอบจำเป็นอย่างยิ่งต้องมีความสมดุลระหว่างประเทศ  ความมั่งคั่ง  การใช้ทรัพยากร  มนุษย์    สังคมอุตสาหกรรมควรมีความหลากหลาย

.

ควรดูเรื่อง  ศักยภาพของความเป็นคน  อุตสาหกรรมต้องเป็นส่วนผสมของ  3P    private public partnership ต้องมีส่วนผสมที่ลงตัวของผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย และต้องดึงจุดเด่นที่มีอยู่มาใช้งาน สร้างขีดความสามารถให้สูงขึ้น อุตสาหกรรมด้านการบริการที่เรามีความโดดเด่น ถึงเวลาแล้วที่จะนำจุดเด่นเหล่านั้นออกมาใช้งาน สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้สูงขึ้น”

.

สอดคล้องกันกับแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมไทยจากหน่วยงานภาครัฐ โดยนางสุทธินีย์ พู่ผกา ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ได้เปิดเผยถึงทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมโดยภาครัฐว่า

.

“สิ่งที่ท้าทายในอนาคต คือ  การค้าเสรีที่เป็นความท้าทายที่สำคัญของภาคอุตสาหกรรม และอีก  5 ปีข้างหน้า (2558) ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจะมีผลบังคับใช้อย่างสมบูรณ์ทุกอย่างจะเคลื่อนที่อย่างเสรี ภาษีศุลกากรระหว่างกันเป็นศูนย์  แรงงาน  ระบบการกีดกันก็จะมีมากขึ้น 

.

โดยเฉพาะ ประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น  EU ได้ออกมาตรการมากมายเสมือนเป้นการกีดกัน เพราะมีกฏระเบียบมากมายที่ต้องปฏิบัติตามเพราะหากไม่ทำตามก็สูญเสียโอกาสในตลาดนั้นได้ กฎเหล็กของ EU หลายเรื่องกระทบไปทั่วโลก บางเรื่องเป็นสิ่งที่ทำลายยาก 

.

บททาทภาครัฐต้องออกแรงมากขึ้นเพราะเงื่อนไขทางการค้าเปลี่ยนไป เรามี  FTA  WTO  จะต้องเร็วที่จะวิเคราะห์สู่การกำหนดนโยบาย ประเด็นเรื่อง เทคโนโลยี  เปลี่ยนเร็วมาก ทำให้วัฎจักอายุของสินค้าสั้นลง  และมีการผสมผสานของเทคโนโลยีมากขึ้น ผู้บริโภค  ก็มีพฤติกรรมการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว  สินค้ามีให้เสือกมาก  สินค้าจะเน้นเพื่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น  โครงสร้างประชากรสูงอายุมีมากขึ้น  โดยเฉพาะญี่ปุ่น  ที่มีผู้สูงอายุ 

.

ขณะที่ สิ่งแวดล้อม  ประเด็นสำคัญการมีส่วนร่วมของประชาชน  กรณีมาบตาพุด  ในเรื่องหลักเกณฑ์เบื้องต้นก็มีเส้นทางที่จะเดินไปทางไหน และประเด็น   เงื่อนไขทางการค้า  เช่น  EU  มีมาตรการแรงงาน  มาตรฐานสินค้า เงื่อนไขด้านสิ่งแวดล้อม และอื่นๆอีกมากมาย”

.

นางสุทธินีย์ เน้นย้ำอีกว่า “ความจำเป็นของผู้ประกอบการจากนี้ไปต้อง มีการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน  เร่งปรับตัวเองจากเดิมที่เป็นผู้รับจ้างผลิต เปลี่ยนไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ สร้างนวัตกรรมเป็นของตัวเอง โดยกระทรวงอุตสาหกรรมมีโครงการหลายโครงการภายใต้แผนแม่บทโครงสร้างพื้นฐานทางปัญญา

.

เรามีการมุ่งเน้นด้านการวิจัยพัฒนาเพื่อทำสินค้ามีลักษณะพิเศษ หรือเพิ่ม productivity  เช่น การเพิ่ม  creative  จากผ้าข้าว  ซึ่งมันเป็นวัฒธรรมที่เรามีอยู่แล้ว  สร้างให้เกิดมูลค่าขึ้นมา  อะไรก็ตามที่สามารถสร้างมูลค่า  โดยใส่วัฒนธรรมของเราลงไป ด้านการพัฒนาบุคลากร  พัฒนาแรงงานต่างๆ แรงงานสมดุลไม่มี  ต้องมีการปรับแนวคิดไปอีกแบบหนึ่ง ก่อนหน้านั้นคนมุ่งเน้นเรียนเพื่อให้มีปริญญาบัตร  อาชีวะมีคนเรียนน้อย

.

ทุกวันนี้อุตสาหกรรมขยายตัวแรงงานจากอาชีวะมีความต้องการเพิ่มขึ้น แรงงานที่มีความสามารถทางช่างต้องมีการพัฒนาและให้มีค่าตอบแทนที่เหมาะสม  ซึ่งเรื่องนี้กระทรวงอุตสาหกรรมได้ร่วมมือกับกระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อพัฒนาแรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม” และได้กล่าวทิ้งท้ายต่อประเด็นการสร้างคตที่ยั่งยืนภาคอุตสาหกรรมว่า “เปลี่ยนแปลงแต่สร้างมูลค่าเพิ่มและอย่าทอดทิ้งสิ่งแวดล้อม”

.

ขณะที่ภาคเอกชน โดยนายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร่วมให้ความคิดเห็นต่อประเด็นความท้าทายของภาคอุตสาหกรรมว่า  “โครงสร้างเศรษฐกิจ ณ ปัจจุบันต้องมองในระยะยาว  เพราะปัจจัยภายนอก  ความผันผวนจาก  ต่างประเทศ ความรวดเร็วของข่าวสารข้อมูล  สินค้าคงคลัง  ทรัพยากร 

.

ทุกประเทศเพิ่มขีดความสามารถของเค้า   ภายในประเทศ ก็จะมีเรื่องการเมืองที่จะทำให้เราขับเคลื่อนช้าลง  กฎระเบียบอาจต้องปรับปรุงให้ทันสมัย  ความต่อเนื่องในการทำนโยบาย  ทั้งที่เราต้องการความรวดเร็วในการเพิ่มขีดความสามารถ  แรงงาน  เน้นบุคลากรที่สามารถทำประโยชน์ได้ 

.

ความสมดุลในเรื่องสิ่งแวดล้อม  การแข่งขันต้องทำงานเป็นทีม “ทีมประเทศไทย” ที่มาจาก เอกชน+  เอกชน  ,เอกชน+ภาครัฐ  ,ภาคการศึกษา มีการบูรณาการทั้งในเรื่องงบประมาณให้มีความสอดคล้องกัน  การที่จะนำแนวทางมาพัฒนาอุตสาหกรรม. เน้นเกษตรอุตสาหกรรม  ประเทศไทย มีสินค้าเกษตรสำคัญหลายตัวเป็นจุดแข็ง  ไม้ว่าจะเป็นการต่อยอดสู่ ไบโอดีเซล

.

การสร้างเรื่องความตื่นตัวในด้านนวัตกรรมเป็นสิ่งสำคัญ  เพื่อพัฒนาการผลิตของภาคอุตสาหกรรม  ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับที่  11  ที่กำลังจะเริ่มใช้จึงต้องเน้นในเรื่อง  Value creation  การพัฒนาอุตสาหกรรมให้อยู่ร่วมกับสังคมได้อย่างยั่งยืน  เชื่อมโยงเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน และเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์ร่วมกันทั้งภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรมและภาคส่วนอื่นๆ”

.

ขณะที่มุมมองต่อความยั่งยืนในการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมประธานสภาอุคตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ให้ข้อคิดเห็นว่า  “จากนี้ไปเราต้องคำนึงถึงความสมดุล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคน  สิ่งแวดล้อม  รายได้  ความรับผิดชอบต่อสังคม  โลกมีการเปลี่ยนแปลงเร็ว 

.

ขณะเดียวกันก็มีตัวแปรภายในประเทศ  ถ้าหากมีความร่วมมือและมีความเข้าใจกัน  ได้มีโอกาสพบปะ  พูดคุยกัน  ดูแลเรื่องสังคม  เศรษฐกิจ  สิ่งแวดล้อม ก็จะสามารถพาไปในทิศทางเดียวกันอยากให้มีเวทีร่วมกันโดยเฉพาะเวทีการกำหนดนโยบาย  เราต้องปรับให้เหมาะสมกับตัวเรา  ทุกวันนี้เอกชนรายใหญ่ยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว แต่รายย่อยและเอสเอ็มอี จำเป็นอย่างยิ่งต้องเร่งปรับตัว นิ่งไม่ได้แล้ว เพราะการนิ่งคือโอกาสที่เสียไป”

.

ขณะที่ตัวแทนภาคประชาชนที่ทำงานด้านสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่องยาวนานนางรสนา โตสิตระกูล สว.กรุงเทพฯ เปิดอีกมุมมองใหม่ที่แม้จะดูขัดแย้งแต่มีจุดร่วมเดียวกัน โดยได้เน้นย้ำถึงเรื่องการสร้างความสมดุลให้อยู่คู่การพัฒนา “ความท้าทายของอุตสาหกรรมไทยต้องมองในเรื่องภูมิอากาศด้วย  มีการกำหนด  benchmark ว่าถ้าอุณหภูมิของโลกเพิ่ม 2 องศา  อาจจะก่อให้เกิดการกู่ไม่กลับ  การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิของโลก  กับภัยพิบัติที่เกิดขึ้น การเติบโตของ  GDP  เกิดจากการถลุงทรัพยากรของโลก 

.

เราเข้าใจว่าการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมคือการทำให้  GDP  โต  ช่องว่างระหว่างคนจนคนรวยห่างกัน  12  เท่า  แต่พัฒนาแล้ว  ห่างกัน  3  เท่า ทุกวันนี้เราใช้ทรัพยากรอย่างมากเกินขีดความสามารถที่ทรัพยากรมีให้ เราต้องให้ความสำคัญกับทรัพยากรให้มากขึ้นเพื่อความยั่งยืนของทรัพยากรควบคู่กันไป ประเทศไทยควรเลือกอุตสาหกรรมที่เหมาะกับความสามารถความถนัดและศักยภาพของคนไทย”   

.

นอกจากนี้ สว.รสนา ยังได้กล่าวทิ้งท้ายในเวทีเสวนาอีกว่า “การเตรียมพร้อมการทำงานร่วมกันระหว่างอุตสาหกรรม  สิ่งแวดล้อม  และสังคมต้องเน้นให้มาก เราจะต้องทำสิ่งที่เหมาะกับตัวเรา  อะไรคือจุดแข็ง  จุดอ่อน  โอกาส  ความเสี่ยงของเรา  โลกเปลี่ยน  เรามี  FTA 

.

ดังนั้น เราต้องเลือกในสิ่งที่เหมาะกับเรา   ไม่ต้องกังวลว่าจะไปถึงเป้าหมายรึไม่ เราต้องคำนวณถึงความสุขมวลรวม  ไทยส่งคอมพิวเตอร์ขายได้มากแต่คนส่วนใหญ่อาจได้ประโยชน์น้อย เราต้องหันกลับมาพิจารณาถึงผลประโยชน์จของคนส่วนใหญ่ของประเทศ อุตสาหกรรมด้านบริการที่เรามีจุดแข็งต้องเน้นให้มากขึ้น ปี  52  การท่องเที่ยวของเราเติบโตมาก 

.

แต่การท่องเที่ยวของเรารายได้ยังไม่ลงไปถึงท้องถิ่น  ทำอย่างไรให้เกิดการท่องเที่ยวที่ไม่เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ต้องหาจุดสมดุลให้ได้ เรื่องพลังงานทางเลือกเป็นโอกาสของประเทศไทย  แต่ยังไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างดีพอ จึงต้องพิจารณาด้วยว่า “ความเพียงพอสำหรับทุกคนคือความยุติธรรม  ความเพียงพอสำหรับคนรุ่นต่อไปคือความยั่งยืน” 

.

ในยุคโลกหมุนเร็วจึงมีความท้าทายที่หลากหลายให้ทุกฝ่ายเปิดใจเปิดมุมมองเพื่อหาจุดสมดุลร่วมกัน เพื่อการขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมอย่างยั้งยืน ซึ่งจากเวทีเสวนาทุกฝ่ายมีข้อคิดเห็นสรุปไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมรับกระแสความเปลี่ยนแปลงของโลก คือ ต้องปรับตัวทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นปรับการผลิต ปรับสินค้า และต้องให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม ชุมชน และสังคม มากขึ้น 

.
ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม