คอนติเนนทอล ออโตโมทีฟ ลั่นมุ่งมั่นสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ตั้งเป้าเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาอีโค คาร์ ด้วยเทคโนโลยีเมกะเทรนด์
คอนติเนนทอล ออโตโมทีฟ มุ่งมั่นสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ตั้งเป้าเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาอีโค คาร์ ด้วยเทคโนโลยีเมกะเทรนด์ |
. |
. |
มร.โธมัส แชมเบอร์ส กรรมการผู้จัดการ บริษัท คอนติเนนทอล ออโตโมทีฟ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงภาพรวมการดำเนินธุรกิจของ กลุ่มบริษัทคอนติเนนทอล ว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2553 คอนติเนนทอลทั่วโลกมีผลประกอบการเป็นที่น่าพอใจ |
. |
โดยในการประชุมผู้ถือหุ้นในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา คอนติเนนทอล คอร์ปอเรชั่น บริษัทแม่ของคอนติเนนทอล ออโตโมทีฟ (ประเทศไทย) มีผลประกอบการที่ดีขึ้นมาก โดยในครึ่งแรก ปี2553 ยอดขายของคอนติเนนทอลเพิ่มขึ้นจาก 9.1 พันล้านยูโร (409,500 ล้านบาท) เป็น 12.5 พันล้านยูโร (562,500 ล้านบาท) |
. |
“จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นในตลาดที่สำคัญๆ ของเรา คอนติเนนทอลประมาณการว่าในปี 2553 นี้ ยอดขายของคอนติเนนทอลทั่วโลกโดยรวมน่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 5% ถึง 15% ขณะที่ในเอเชีย เราคาดหมายการเติบโตที่สูงกว่าปกติ โดยในปีที่ผ่านมา(2552) เอเชียมีสัดส่วนการขายเป็น 14% ของยอดขายรวมของบริษัท สำหรับในกลุ่มยานยนต์ยอดขายในเอเซียมีสัดส่วน 18% ของยอดขายของกลุ่มยานยนต์ทั่วโลก” |
. |
สำหรับการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย มร.โธมัส กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากที่บริษัทเข้ามาลงทุนเปิดโรงงานที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จ. ระยอง คอนติเนนทอล ออโตโมทีฟได้ส่งมอบชิ้นส่วนหัวฉีดคอมมอนเรลชุดแรก ให้กับลูกค้าในอินเดียและยุโรปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2553 ทั้งนี้ตามแผนงาน |
. |
โรงงานของคอนติเนนทอลจะสามารถผลิตเต็มประสิทธิภาพในปี 2555 ด้วยยอดผลิต 500,000 ชิ้นต่อปี โดยจะส่งออก 30% และส่งมอบลูกค้าในประเทศ 70% ขณะที่ในด้านการตลาดมีการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าซึ่งมีทั้งผู้ผลิตรถยนต์จากญี่ปุ่น ยุโรป และอเมริกา อย่างต่อเนื่องเพื่อขยายฐานตลาด |
. |
ในปีนี้คอนติเนนทอลทั่วโลก ได้ริเริ่มโครงการ “Quality First Initiative” ซึ่งประเทศไทยเป็นส่วนหนึ่งในโครงการนี้ นับเป็นพัฒนาการล่าสุดของนโยบายการผลิตของคอนติเนนทอลเพื่อสร้างความมั่นใจด้านคุณภาพให้กับลูกค้า หัวใจสำคัญของโครงการนี้อยู่ที่ “วัฒนธรรม Zero Failure” ในทุกขั้นตอนของกระบวนการผลิต และการพัฒนากระบวนการผลิตที่เน้นความมั่นใจในคุณภาพที่สูงสุด |
. |
นอกจากนี้คอนติเนนทอลยังตั้งใจที่จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาอีโค คาร์ในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ซึ่งคาดหมายว่าจะกลายเป็นสินค้าแชมเปี้ยนใหม่ควบคู่ไปกับรถกระบะ จะเห็นได้ว่ารถนิสสัน มาร์ช ที่ได้วางตลาดไป ใช้ชิ้นส่วนจากส่วนธุรกิจเพาเวอร์เทรน (Powertrain Division) และส่วนธุรกิจแชสซีและความปลอดภัย (Chassis & Safety Division) ของคอนติเนนทอล |
. |
รวมถึงผู้ผลิตรายอื่นที่กำลังจะเข้าสู่ตลาดอีโค คาร์ เช่น ฮอนด้า ซูซูกิ มิตซูบิชิ ก็มีศักยภาพที่จะเป็นลูกค้าของคอนติเนนทอลด้วยเช่นกัน |
. |
“ด้วยเทคโนโลยีเมกะเทรนด์ ซึ่งเน้นความปลอดภัยระดับโลก ทำให้คอนติเนนทอลมั่นใจว่า เราคือผู้ร่วมงานที่ยอดเยี่ยมของผู้ผลิตอีโค คาร์” |
. |
สำหรับการมีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทย เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา คอนติเนนทอลได้ร่วมมือกับสถาบันยานยนต์จัดสัมมนาในหัวข้อ “รถยนต์เพื่อการพาณิชย์: เทคโนโลยียานยนต์ล้ำสมัยที่ส่งเสริมการเป็นโปรดักส์แชมป์เปี้ยน” และมีความตั้งใจที่จะร่วมมือกับสถาบันยานยนต์เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยอย่างสม่ำเสมอต่อไป |
. |
“คอนติเนนทอลในฐานะที่เป็นหนึ่งในห้าผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ผู้นำของโลก ยังมุ่งมั่นและยืนยันที่จะสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทย เพื่อให้ไทยก้าวสู่เป้าหมายการเป็นหนึ่งในสิบผู้ผลิตด้านยานยนต์ที่สำคัญของโลกภายในปี 2557 วิกฤตการเมืองที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ไม่กระทบกระเทือนการทำงานของคอนติเนนทอล ออโตโมทีฟ (ประเทศไทย) แผนงานของบริษัทในประเทศไทยและตลาดเอเชียยังคงเหมือนเดิม” |
. |
กลุ่มคอนติเนนทอล คอร์ปอเรชั่น เป็นหนึ่งในผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ชั้นนำลำดับต้นๆ ของโลก มียอดขายในปี 2552 มากกว่า 20 พันล้านยูโร ในฐานะที่กลุ่มคอนติเนนทอล เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่สำคัญ ได้แก่ ระบบเบรก ระบบและชิ้นส่วนสำหรับระบบส่งกำลังและแชสซี หน้าปัดรถยนต์ อุปกรณ์เพิ่มความบันเทิงในรถยนต์ ระบบอิเล็กทรอนิกส์ในยานยนต์ ยางรถยนต์และยางสังเคราะห์ เป็นต้น |
. |
กลุ่มคอนติเนนทอล มุ่งมั่นพัฒนาระบบและส่งเสริมให้เกิดความปลอดภัยในการขับขี่สูงสุด อีกทั้งร่วมกันปกป้องสภาพแวดล้อมของโลกด้วย นอกจากนี้ คอนติเนนทอล ยังเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่เข้มแข็งในการพัฒนาเครือข่ายการสื่อสารที่ใช้ในยานยนต์ ปัจจุบัน กลุ่มคอนติเนนทอล คอร์ปอเรชั่น มีพนักงานประมาณ 143,000 คน ในสำนักงานใน 46 ประเทศทั่วโลก |
. |
กลุ่มยานยนต์คอนติเนนทอล เป็นหนึ่งในผู้นำการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ลำดับต้นๆ ของโลก ประกอบด้วย 3 ส่วนธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจแชสซีและความปลอดภัย (ยอดขาย 4.4 พันล้านยูโร พนักงาน 27,000 คน) ธุรกิจระบบส่งกำลัง (ยอดขาย 3.4 พันล้านยูโร พนักงาน 24,000 คน) และธุรกิจอุปกรณ์ภายในรถยนต์ (ยอดขาย 4.4 พันล้านยูโร พนักงานมากกว่า 27,000 คน) ในปี 2552 กลุ่มยานยนต์สามารถสร้างยอดขายรวมมากกว่า 12 พันล้านยูโร |
. |
กลุ่มยานยนต์ มีสำนักงานกว่า 130 แห่งทั่วโลก ในฐานะพันธมิตรของอุตสาหกรรมยานยนต์ ได้มีการพัฒนาและผลิตชิ้นส่วนและระบบที่เป็นนวัตกรรมที่ตอบสนองต่อยานยนต์แห่งโลกอนาคตซึ่งรถยนต์สามารถตอบสนองความต้องการส่วนบุคคล ให้ความเพลิดเพลินในการขับ มีความปลอดภัยในการขับขี่สูง อีกทั้งยังปกป้องสภาพแวดล้อมของโลกและราคาประหยัดคุ้มค่าด้วย |
. |
ธุรกิจแชสซีและความปลอดภัย พัฒนาและผลิตระบบเบรกอิเล็กทรอนิกส์ ระบบเบรกไฮดรอลิก ระบบควบคุมแชสซี เซ็นเซอร์ ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ระบบควบคุมถุงลมนิรภัยด้วยไฟฟ้าแลเซ็นเซอร์ ระบบปัดน้ำฝน เช่นเดียวกับ ระบบกันสะเทือนแบบถุงลม ความสามารถหลักของสายงานนี้คือ การบูรณาการระบบป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุและระบบปกป้องหลังเกิดอุบัติเหตุไปสู่แนวคิดความปลอดภัยของคอนติการ์ด |
. |
ส่วนธุรกิจระบบส่งกำลัง จะผสมผสานนวัตกรรม และระบบส่งกำลังยานยนต์ที่มีประสิทธิภาพ ธุรกิจนี้ครอบคลุมผลิตภัณฑ์หลากหลายรวมถึงหัวฉีดแก๊สโซลีนและดีเซล ระบบจัดการเครื่องยนต์ ระบบควบคุมเกียร์ เซ็นเซอร์ และแอคทูเอเตอร์ ระบบจ่ายเชื้อเพลิงและชิ้นส่วน รวมทั้งระบบสำหรับรถยนต์ไฮบริด และรถยนต์ไฟฟ้า |
. |
การจัดการข้อมูลเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจอุปกรณ์ภายในรถยนต์ ซึ่งเน้นการจัดการข้อมูลเป็นหัวใจสำคัญ ประกอบไปด้วยอุปกรณ์ภายในรถยนต์และหน้าปัดแสดงข้อมูล หน่วยควบคุม ระบบการเปิดปิดรถยนต์อัตโนมัติ ระบบตรวจสอบยางรถ วิทยุ ระบบมัลติมีเดียและระบบนำทาง ระบบควบคุมอุณหภูมิ เทเลมาติกส์ โมดุลที่นั่งคนขับ ผลิตภัณฑ์และบริการเสริมอื่น ๆ |