SALEE เป็นปลื้ม ไตรมาส 2 ปีนี้ โกยกำไรสุทธิ 15.90 ลบ. หลังไร้ 'เอสซี วาโด' หนุน ขณะที่งวด 6 เดือนมีกำไร 43.09 ลบ. เพิ่มจากงวดก่อนที่ทำได้ 27.28 ลบ. บริษัทเผยสะท้อนให้เห็นธุรกิจหลักที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดี มั่นใจปั๊มผลงานไตรมาส 3/53 โตต่อไม่หยุด รับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ คอนซูเมอร์ โปรดักส์ขยายตัว ล่าสุดทุ่มงบลงทุนอีก 50 ล้านบาท สั่งซื้อเครื่องจักรใหม่ ทั้งเครื่องทำแม่พิมพ์ เครื่องฉีดพลาสติก และเครื่องพิมพ์ หวังดันกำลังผลิตเพิ่มอีก 30% เพื่อหนุนรายได้รวมทั้งปีแตะ700 – 800 ล้านบาท |
. |
นายสุพจน์ สุนทรินคะ ผู้จัดการแผนกนักลงทุนสัมพันธ์และพัฒนาธุรกิจ บริษัท สาลี่อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ SALEE ผู้ประกอบธุรกิจผลิตชิ้นส่วนพลาสติกและธุรกิจผลิตฉลากสินค้า เปิดเผยผลประกอบการประจำงวดไตรมาสที่ 2/2553 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2553 ว่า บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 15.90 ล้านบาท หรือ 0.07 บ./หุ้น ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 22.45 ล้านบาท หรือ 0.09 บ./หุ้น |
. |
ในขณะที่ผลประกอบการประจำงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2553 ทำได้ 43.09 ล้านบาท หรือ 0.18 บ./หุ้น เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 27.28 ล้านบาท หรือ 0.11 บ./หุ้น โดยการลดลงของกำไรสุทธิในไตรมาสที่ 2/2553 มาจากการรับรู้รายได้จากบริษัทย่อยลดลงหลังจากที่บริษัทฯ ได้ขายเงินลงทุนในบริษัทเอสซี วาโด ออกไปทั้งหมด ซึ่งในไตรมาสที่ 2/2553 บริษัทฯ มีรายได้รวมจำนวน 159 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีจำนวน 200 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราลดลงร้อยละ 21 |
. |
“การลดลงของกำไรสุทธิในไตรมาสที่ 2/2553 เป็นผลจากที่ในปีก่อนเราได้รวมการรับรู้รายได้และกำไรจาก เอสซี วาโด เข้ามาด้วย แต่ปีนี้ได้ขายบริษัทย่อยแห่งนี้ไปแล้ว ผลประกอบการที่เห็นจึงมาจากธุรกิจหลัก ซึ่งเป็นธุรกิจผลิตชิ้นส่วนพลาสติกและธุรกิจผลิตฉลากสินค้าแต่เพียงอย่างเดียว และเห็นได้ว่ายังมีอัตราการเติบโตที่น่าพอใจ ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก เนื่องจากสินค้าของบริษัทฯ อิงกับภาคการส่งออกในธุรกิจอิเล็กทอรนิกส์และธุรกิจคอนซูเมอร์โปรดักส์ หมายถึงธุรกิจยังขยายตัวได้ไม่มีปัญหา และยังเดินไปตามเป้าหมายที่วางไว้" |
. |
นายสุพจน์กล่าวอีกว่าสำหรับผลประกอบการในครึ่งปีหลังยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากครึ่งปีแรกที่ผ่านมา โดยในไตรมาส 3/2553 คาดว่าจะยังเติบโตได้ดี เนื่องจากบริษัทฯ ยังได้รับปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก รวมถึงการขยายตัวของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และคอนซูเมอร์โปรดักส์ |
. |
ส่งผลให้มีคำสั่งซื้อสินค้าเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้คาดการณ์รายได้เป็นไปตามเป้าหมายที่ 700 - 800 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยจากปีก่อนมีรายได้ 920 ล้านบาท หลังบริษัทฯ ขายเงินลงทุนในบริษัท เอสซี วาโด จำกัด ออกไปทั้งจำนวน |
. |
โดยในปีนี้สัดส่วนรายได้หลักจะมาจากธุรกิจผลิตชิ้นส่วนพลาสติกและธุรกิจผลิตฉลากสินค้าเป็นหลัก จากการดำเนินธุรกิจของ บมจ.สาลี่อุตสาหกรรม และบริษัทย่อยคือ บริษัท พาโก้ สาลี่ พริ้นท์ติ้ง จำกัด ซึ่งธุรกิจดังกล่าวของกลุ่มบริษัทฯ มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดี ในขณะที่มีต้นทุนราคาวัตถุดิบใกล้เคียงกับปีก่อน ดังนั้นจึงมั่นใจว่าจะสะท้อนให้ผลประกอบการของบริษัทฯ ดีขึ้นในทิศทางเดียวกัน |
. |
อย่างไรก็ตาม หลังจากการขายเงินลงทุนในบริษัท เอสซี วาโด ออกไป ทำให้โครงสร้างเงินทุนของบริษัทมีความเข้มแข็งอย่างมาก โดยจะเห็นได้จากอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D / E Ratio) ของกลุ่มบริษัท ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2553 อยู่ที่เพียง 0.30 เท่า ทำให้บริษัทมีกำลังและศักยภาพในการขยายการลงทุนได้อีกมาก |
. |
ดังนั้น เพื่อรองรับโอกาสทางธุรกิจ บริษัทฯ ได้ใช้เงินลงทุนจำนวน 50 ล้านบาท ซื้อเครื่องจักรใหม่เพื่อขยายกำลังการผลิตให้เพิ่มขึ้น โดยเป็นเครื่องจักรด้านทำแม่พิมพ์จำนวน 5 เครื่อง มูลค่ารวม 15 ล้านบาท อยู่ระหว่างการสั่งซื้อและรอการติดตั้ง เครื่องฉีดพลาสติก 2 เครื่อง มูลค่าลงทุนรวม 20 ล้านบาท |
. |
ขณะนี้อยู่ระหว่าง การติดตั้งและทดลองการผลิตบางส่วน ส่วนเครื่องพิมพ์อีก 1 เครื่อง มูลค่าลงทุน 15 ล้านบาท อยู่ระหว่างรอการติดตั้ง โดยคาดว่าสามารถทดลองการผลิตในเดือนกันยายน ซึ่งเครื่องจักรใหม่ทั้งหมดดังกล่าวนี้จะสามารถเดินเครื่องผลิตเชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบในไตรมาส 4 ปีนี้เป็นต้นไป และจะส่งผลให้กำลังการผลิตรวมของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นอีก 30% จากปัจจุบัน และรับรู้เป็นรายได้อย่างเต็มที่ในปีหน้า |