สศอ.ตีปีก ปรับประมาณการดัชนีอุตสาหกรรมปีนี้ใหม่เป็นเติบโตร้อยละ 15-16 รับภาคอุตสาหกรรมขยายตัวดีต่อเนื่อง คาดหลายสาขาอุตสาหกรรมอาจลงทุนเพิ่ม
สศอ.ตีปีก ปรับประมาณการดัชนีอุตสาหกรรมปีนี้ใหม่เป็นเติบโตร้อยละ 15-16 รับภาคอุตสาหกรรมขยายตัวดีต่อเนื่อง คาดหลายสาขาอุตสาหกรรมอาจลงทุนเพิ่ม |
. |
. |
นางสุทธินีย์ พู่ผกา ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยถึงดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมครึ่งแรกปี 2553 พบว่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 24.1 เมี่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ถือเป็นการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2552 ที่ขยายตัวร้อยละ 11.5 |
. |
โดยอัตราการใช้กำลังการผลิตภาพรวมเฉลี่ยร้อยละ 62.9 สะท้อนให้เห็นถึงการขยายตัวอย่างดีหลายสาขาอุตสาหกรรมมีอัตราการใช้กำลังการผลิตในระดับที่อาจจะต้องเพิ่มการลงทุนในเครื่องมือและเครื่องจักรต่าง ๆ ไม่เช่นนั้นอุตสาหกรรมจะไม่สามารถเพิ่มปริมาณผลผลิตได้ทันกับการเพิ่มขึ้นของความต้องการสินค้าจากการขยายตัวดังกล่าว จึงได้ปรับประมาณการขยายตัวของดัชนีอุตสาหกรรมในปี 2553 อยู่ที่ร้อยละ 15-16 เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าจากที่ได้ประมาณการไว้เมื่อต้นปี |
. |
ขณะที่ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเดือน มิ.ย. 2553 ขยายตัวร้อยละ 14.34 อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ร้อยละ 65.6 ซึ่งเป็นไปตามทิศการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก และเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของภาคอุตสาหกรรมไทย เมื่อภาวะเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวไทยสามารถรับคำสั่งซื้อได้จากทั่วโลกสามารถผลิตและส่งมอบสินค้าได้ทันต่อเวลา จึงเป็นที่มั่นใจของประเทศคู่ค้า |
. |
“อัตราการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมครึ่งปีแรกถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพึงพอใจ แม้จะเกิดความวุ่นวายทางการเมือง แต่ภาคอุตสาหกรรมไทยก็สามารถฝ่าวิกฤติไปได้ โดยอุตสาหกรรมหลักที่ไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อการส่งออก เช่น ยานยนต์ ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ขยายตัวอย่างน่าพอใจเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน” ผู้อำนวยการ สศอ. กล่าว |
. |
สำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ครึ่งแรกปี 2553 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีการผลิตรถยนต์ 769,082 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 97.66 ซึ่งเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นในรถยนต์ทุกประเภท โดยจำหน่ายในประเทศ 356,692 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 54.13 และการส่งออก 418,178 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 78.11 ซึ่งเป็นผลมาจากเศรษฐกิจของโลกและของประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น |
. |
สำหรับตลาดภายในประเทศได้รับผลดีจากการที่ค่ายรถยนต์ต่างมีการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ออกมาเพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะรถยนต์ประหยัดพลังงานสำหรับตลาดส่งออกผู้ประกอบการมีการปรับแผนการผลิต เพื่อรองรับตลาดส่งออกที่เพิ่มขึ้น ส่วนครึ่งปีหลังคาดว่า จะมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก |
. |
โดยจะมีการผลิตรถยนต์ประมาณ 830,000 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 36 จำหน่ายในประเทศประมาณ 343,000 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.05 และส่งออกประมาณ 481,000 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 59.92 โดยทั้งปีคาดว่าจะมีการผลิตรถยนต์ประมาณ 1.6 ล้านคัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 60.10 จำหน่ายในประเทศประมาณ 700,000 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 27.53 และส่งออกประมาณ 900,000 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 68.05 |
. |
สำหรับอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ครึ่งแรกปี 2553 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนขยายตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 36.55 โดยเพิ่มขึ้นทั้งในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากการผลิตเพื่อการส่งออกของอุปกรณ์ส่วนประกอบเครื่องคอมพิวเตอร์ ได้แก่ HDD ปรับตัวสูงขึ้นมาก จากความต้องการของตลาดสหรัฐที่ฟื้นตัวและตลาดจีนที่เป็นตลาดใหญ่สั่งนำเข้าสินค้าอย่างต่อเนื่อง |
. |
อย่างไรก็ตาม การขยายตัวที่สูงส่วนหนึ่งอาจเกิดจากฐานตัวเลขสถิติการส่งออกของปีก่อนค่อนข้างต่ำ ขณะที่แนวโน้มการผลิตช่วงที่เหลือของปี 2553 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.07 สินค้าที่มีแนวโน้มการผลิตเพิ่มขึ้น ได้แก่ HDD และ IC เนื่องจากคำสั่งซื้อที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่องจากต่างประเทศ และตลาดในประเทศมีการขยายตัว โดยผู้ประกอบการพยายามที่จะเสนอสินค้าที่มีความทันสมัยให้ผู้บริโภคได้เลือกซื้ออย่างหลากหลาย |
. |
อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มครึ่งแรกปี 2553 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนการผลิตเพิ่มขึ้นทั้งกลุ่มสิ่งทอและกลุ่มเครื่องนุ่งห่ม โดยเส้นใยสิ่งทอ ผ้าผืน และเสื้อผ้าสำเร็จรูปเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.2 , 6.4 และ 6.4 ตามลำดับ เป็นผลจากคำสั่งซื้อของคู่ค้าขยายตัวต่อเนื่องนับแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา |
. |
ปัจจัยบวกเกิดมาจากที่ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในการผลิตและส่งออกสิ่งทอภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรีของอาเซียน เพื่อจะส่งต่อไปในหลายประเทศในภูมิภาคที่ไม่มีสิ่งทอต้นน้ำ เช่น ลาว เวียดนาม กัมพูชา และบังกลาเทศ ซึ่งนำเข้าสิ่งทอต้นน้ำ และกลางน้ำจากประเทศไทยไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปเพื่อการส่งออกมากขึ้น ประกอบกับเศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัว |
. |
ส่วนแนวโน้มปี 2553 คาดว่าการผลิตสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มจะขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 3-7 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นอย่างมากและโรงงานรับคำสั่งซื้อไว้เต็มแทบทุกโรงงาน สำหรับตลาดหลักอย่างสหรัฐและสหภาพยุโรป (อียู) เป็นตลาดที่มียอดคำสั่งซื้อลดลง ขณะที่อาเซียนและจีน มีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จีนจะเป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ในอนาคตโดยลดบทบาทลงจากคู่แข่งของไทยมาจำหน่ายสินค้าไทยในประเทศมากขึ้น เพราะมีกำลังซื้อสูงอยู่แล้ว |
. |
ส่วนอาเซียนเป็นตลาดที่ไทยควรจะนำสินค้าที่เน้นการออกแบบและเป็นแบรนด์ของไทยไปจำหน่าย ส่วนตลาดญี่ปุ่นผู้ประกอบการต้องการสินค้านวัตกรรมและสินค้าคุณภาพดีแต่มีราคาถูกกว่า โดยเฉพาะสินค้าแฟชั่นจะเป็นตลาดที่เป็นที่ต้องการมากกว่า |
. |
ที่มา : สำนักข่าวไทย ผู้เสนอ : กลุ่มวิเคราะห์ข่าวและฐานข้อมูล สำนักโฆษก |
. |
ที่มา : เว็บไซต์รัฐบาลไทย |