เนื้อหาวันที่ : 2010-07-13 10:16:35 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 579 views

ภาวะเศรษฐกิจประจำวันที่ 13 ก.ค. 2553

1. สภาพัฒน์ฯ คาด GDP ทั้งปี 53 โตร้อยละ 7

-  รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจได้พิจารณารายงานการขยายตัวของเศรษฐกิจในช่วงหกเดือนแรก  โดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 53 จะขยายตัวถึงร้อยละ 7 ต่อปี  เนื่องจากเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวดีในเดือนมิ.ย. 53  ถึงแม้จะรับผลกระทบจากการเมือง 

.

โดยเศรษฐกิจไทยจะเข้าสู่ภาวะปกติก่อนสิ้นปี นอกจากนี้ ปัจจัยสนับสนุนประกอบไปด้วยการขยายตัวภาคเกษตรกรรม การจ้างงานที่ดี ความเชื่อมั่นของนักลงทุน และการขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชน ทั้งนี้ ได้คำนึงถึงปัจจัยเสี่ยง เช่น การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกในช่วงปีหลังและภาวะวิกฤติหนี้สาธารณะในยุโรปไว้ครบถ้วนแล้ว

.

-  สศค. วิเคราะห์ว่า เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ร้อยละ 7 ต่อเมื่อมีการขยายตัวของสามไตรมาสหลังเฉลี่ยไม่ต่ำกว่าร้อยละ 5.3 ต่อปี โดยในไตรมาส 1 ปี 53 เศรษฐกิจไทยสามารถขยายตัวได้สูงถึงร้อยละ 12.0 ต่อปี ส่วนในไตรมาส 2 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะยังคงขยายตัวเป็นบวก เนื่องจากการส่งออก การบริโภค และการลงทุนยังเติบโตได้ แต่อาจชะลอลงเนื่องจากภาคการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบจากปัจจัยการเมือง

.

สำหรับในครึ่งหลังของปีคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงอีก จากฐานการคำนวณในช่วงเดียวกันของปีก่อนที่เริ่มปรับตัวสูงขึ้น  ทั้งนี้ สศค. ได้ประเมินไว้เมื่อเดือนมิ.ย. 53 ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 53 จะขยายตัวได้ร้อยละ 5.5 ต่อปี  โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 5.0 – 6.0 ต่อปี

.

2. ก. พาณิชย์ เตือนผู้ส่งออกไปยุโรปเร่งปรับตัวรับกำลังซื้อที่ลดลง

-  กระทรวงพาณิชย์ เตือนผู้ส่งออกไปยุโรปเร่งปรับตัวรับกำลังซื้อที่ลดลง และผู้ส่งออกจะต้องวางแผนการบริหารความเสี่ยงจากค่าเงิน ซึ่งค่าเงินที่น่าเป็นห่วงอยู่ในขณะนี้คือ ค่าเงินยูโร ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจในสหภาพยุโรปที่ลุกลามอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้บริษัทส่วนใหญ่มีการวางแผนลดความเสี่ยงโดยการใช้เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐซื้อขายสินค้าแทนเงินยูโร  

.

นอกจากนี้ วิกฤตเศรษฐกิจในยุโรปได้เริ่มส่งสัญญาณว่ากำลังซื้อเริ่มหดตัวลง รวมถึงมีการต่อรองราคาสินค้ามากขึ้น ทำให้ผู้ส่งออกต้องปรับ โดยหันมาส่งออกสินค้าระดับกลางแทนสินค้าระดับสูงมากขึ้น ขณะเดียวกันผู้ส่งออกควรติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด เนื่องจากตลาดอียูยังคงเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 11% ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้ตั้งเป้าหมายปี 2553 การส่งออกสินค้าไปตลาดอียูจะขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 10 

.

-  สศค. วิเคราะห์ว่า ภาวะวิกฤติหนี้ในยุโรป ประกอบกับการที่ค่าเงินยูโรมีแนวโน้มอ่อนค่าลง อาจส่งผลให้การส่งออกไทยชะลอตัวลงบ้าง อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันไทยได้มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างตลาดส่งออกใหม่ โดยมีการส่งออกสินค้าไปยังตลาดจีน ตลาดอาเซียนและตลาดออสเตรเลียมากขึ้น จึงช่วยลดผลกระทบจากความต้องการซื้อของผู้บริโภคในตลาดหลัก เช่น ตลาดอียูและสหรัฐฯที่ลดลง

.

ทั้งนี้ ล่าสุดสถานการณ์เดือนพ.ค. 53 ยังขยายตัวได้ในระดับสูงที่ร้อยละ 42.1 ต่อปี ต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 35.2 ต่อปี และหากปรับผลทางฤดูกาลแล้ว พบว่า ขยายตัวที่ร้อยละ 3.4 เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า

.

3. รัฐบาลญี่ปุ่นพ่ายเลือกตั้งวุฒิหวั่นเป็นอุปสรรคนโยบายลดหนี้

-  สถานีโทรทัศน์เอ็นเอชเครายงานผลการเลือกตั้งวุฒิสภาของญี่ปุ่นว่า พรรคเดโมเครติค ปาร์ตี้ ออฟ เจแปน (ดีพีเจ) ของนายนาโอโตะ คัง นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ครองที่นั่งในสภาสูงได้ 44 ที่นั่ง พ่ายแพ้พรรคฝ่ายค้านอย่างพรรคเสรีประชาธิปไตย (แอลดีพี) ที่ครองที่นั่งได้ 51 ที่นั่ง ส่วนพรรคยัวร์ ปาร์ตี้ ครองที่นั่งได้ 10 ที่นั่ง

.

ทั้งนี้  การพ่ายแพ้ศึกเลือกตั้งวุฒิสภาของพรรค ดีพีเจ อาจเป็นผลมาจากการอภิปรายของนายนาโอโตะ คัง เรื่องนโยบายการขึ้นภาษีการค้าร้อยละ 5 เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สาธารณะและประเด็นการย้ายฐานทัพสหรัฐจากเกาะโอกินาว่า อย่างไรก็ตาม นายคังยืนยันว่าจะไม่ลาออกจากตำแหน่ง หรือปรับคณะรัฐมนตรีแต่อย่างใด

.

-  สศค. วิเคราะห์ว่า การที่พรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลของญี่ปุ่นได้ครองที่นั่งในวุฒิสภาน้อยกว่าพรรคฝ่ายค้านนั้น อาจจะเป็นอุปสรรคในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายเพื่อลดระดับหนี้สาธารณะของญี่ปุ่น เช่น การกำหนดเป้าหมายจัดทำงบประมาณสมดุลภายในอีก 10 ปีข้างหน้า การลดรายจ่ายของรัฐบาล และการเพิ่มอัตราภาษีเพื่อเพิ่มรายได้รัฐบาล

.

ทั้งนี้ ปัจจุบันญี่ปุ่นมีหนี้สาธารณะสูงถึงร้อยละ 180 ของจีดีพี  นอกจากนี้ ยังอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อความสามารถของรัฐบาลญี่ปุ่นในการแก้ไขปัญหาหนี้สาธารณะ

.
ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง