"องอาจ" ตอกย้ำความมั่นใจนักลงทุนยันครึ่งปีหลัง 'อินเตอร์ไฮด์' เติบโตต่อเนื่อง ตามการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ คุยออเดอร์ไหลเข้าจนถึงสิ้นปี
“องอาจ ดำรงสกุลวงษ์” ตอกย้ำความมั่นใจนักลงทุนยืนยันครึ่งปีหลัง 'อินเตอร์ไฮด์' เติบโตต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก ตามการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ คุยมีออเดอร์ไหลเข้ามือต่อเนื่องนอนรอส่งมอบจนถึงสิ้นปีแล้ว ขณะที่กำลังการผลิตใช้เต็ม 100% เชื่อปั๊มรายได้เข้าเป้า 1,800-1,900 ลบ.หายห่วง ส่วนกำไรยิ่งมีทิศทางแจ่มกว่าเพราะแค่โค้งแรกก็สูงกว่าที่ทำได้ในปี 52 ทั้งปีแล้ว ล่าสุดเตรียมขยายกำลังการผลิตรองรับออเดอร์อีโคคาร์ปีหน้า เชื่อหนุนผลประกอบการโตต่อได้อีก” |
. |
นายองอาจ ดำรงสกุลวงษ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเตอร์ไฮด์ จำกัด (มหาชน) |
. |
นายองอาจ ดำรงสกุลวงษ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเตอร์ไฮด์ จำกัด (มหาชน) หรือ IHL ผู้ประกอบธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายเบาะหนังสำหรับรถยนต์รายใหญ่ของไทย เปิดเผยถึงแนวโน้มธุรกิจเบาะหนังรถยนต์ในครึ่งปีหลังว่า เชื่อว่าจะเติบโตต่อเนื่องจากครึ่งปีแรกอย่างชัดเจน ตามทิศทางการขยายตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เริ่มมีกำลังซื้อเข้ามาเพิ่มมากขึ้น |
. |
หลังการส่งรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ลงสู่ตลาดของค่ายผู้ประกอบการรถยนต์ และเศรษฐกิจมีสัญญาณการฟื้นตัวจนทำให้ผู้บริโภคกล้าจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น จะเห็นได้จากปัจจุบันบริษัทฯ ได้รับคำสั่งซื้อ (Order) จากลูกค้าที่เป็นผู้ประกอบการค่ายรถยนต์เข้ามารอการส่งมอบจนถึงสิ้นปีแล้ว ในขณะที่ใช้กำลังการผลิตเกือบเต็ม 100% |
. |
“ในครึ่งปีแรกเรามั่นใจว่าธุรกิจเติบโตได้ดีกว่าปีก่อน ถึงแม้ว่าในไตรมาสที่สองจะมีวันหยุดค่อนข้างเยอะ และมีเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองเกิดขึ้น แต่ก็เป็นเพียงระยะสั้นๆ ทำให้ภาพรวมยังดีเมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งถือว่าเป็นไปตามการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ และเชื่อว่าสัญญาณการเติบโตนี้จะต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปีและปีหน้าด้วย เพราะตามวงจรธุรกิจการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์จะเป็นไปอย่างต่อเนื่องนานหลายปีหากไม่มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเข้ามากระทบ |
. |
ซึ่งขณะนี้ยังมีออเดอร์ไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่องทั้งจากรถยนต์โมเดลเดิมที่จำหน่ายอยู่ในปัจจุบัน และรถยนต์โมเดลใหม่ ซึ่งในปีนี้สถาบันยานยนต์ประเมินว่าในอุตสาหกรรมรถยนต์ของไทยจะมียอดผลิตอยู่ที่ 150,000 คัน จากปีก่อนที่อยู่ที่ 999,378 คัน จึงถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีที่บริษัทฯ จะได้รับประโยชน์ด้วย” |
. |
นายองอาจกล่าวอีกว่า ประเมินจากคำสั่งซื้อที่ไหลเข้ามาในปัจจุบันนี้ และกำลังการผลิตที่สามารถรองรับได้ มั่นใจว่าในปี 2553 จะสามารถผลักดันรายได้ถึง 1,800-1,900 ล้านบาท ตามเป้าหมายได้อย่างแน่นอน ส่วนกำไรก็คงดีไปในทิศทางเดียวกัน เพราะเพียงไตรมาสแรกไตรมาสเดียวก็ทำกำไรสุทธิสูงถึง 113.61 ล้านบาท หรือหุ้นละ 0.38 บาท สูงกว่าปี 2552 ทั้งปีที่ทำได้ 109.06 ล้านบาท |
. |
ประกอบกับได้รับผลดีจากการแข็งค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับสกุลเงินต่างประเทศ ทำให้การสั่งซื้อวัตถุดิบจากต่างประเทศมีราคาต่ำลง นอกจากนั้นยังได้รับผลดีจากการประหยัดจากขนาดการผลิต (Economies of scale) ทำให้ต้นทุนเฉลี่ยต่อหน่วยลดลงตามปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้น จึงน่าจะส่งผลให้ผลประกอบการในปีนี้เติบโตได้อย่างโดดเด่น |
. |
เขากล่าวอีกว่า เพื่อรองรับโอกาสทางธุรกิจที่กำลังขยายตัวต่อเนื่อง บริษัทฯ จึงมีแผนจะขยายกำลังการผลิตให้เพิ่มขึ้น โดยในช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้ใช้งบลงทุน จำนวน 92 ล้านบาท ซื้อโรงงานเพื่อปรับปรุงเป็นโรงงานแห่งใหม่ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตในเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2554 |
. |
ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตโดยรวมของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นอีก 20-30% จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 2.5 ล้านตารางฟุต/เดือน โดยกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับคำสั่งซื้อใหม่ที่จะเริ่มเข้ามา โดยเฉพาะในกลุ่มรถยนต์อี โคคาร์ ที่คาดว่าจะเปิดตัวลงสู่ตลาดกันอย่างคึกคักในปีหน้า ซึ่งจะสะท้อนให้ผลประกอบการของบริษัทเติบโตไปในทิศทางเดียวกันด้วย |