เอสซีจี เคมิคอลส์ ผู้ผลิตเคมีภัณฑ์ชั้นนำของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค บุกเบิกพัฒนาเม็ดพลาสติกในกลุ่มธุรกิจสินค้าพิเศษที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (HVA - High Value-Added Products) สำหรับใช้ผลิตอุปกรณ์การแพทย์ปลอดเชื้อขั้นสูงสุดด้วยวิธีการผ่านรังสีแกมม่า สร้างความแกร่งอย่างต่อเนื่องให้กลุ่มธุรกิจ HVA มุ่งเน้นคุณภาพและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า สอดคล้องกับหลักการดำเนินธุรกิจการสร้างความสำเร็จร่วมกัน

นายยุทธนา เจียมตระการ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี โพลิโอเลฟินส์ จำกัด ในเอสซีจี เคมิคอลส์ กล่าวว่า ภายใต้วิสัยทัศน์การก้าวสู่ผู้นำทางธุรกิจอย่างยั่งยืนในภูมิภาคอาเซียน เอสซีจี เคมิคอลส์ มุ่งเน้นการพัฒนาธุรกิจสินค้าพิเศษที่มีมูลค่าเพิ่มสูงหรือ HVA เพื่อสร้างจุดเด่นและข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน ตอบสนองความต้องการของลูกค้าและผู้บริโภคด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ภายใต้พื้นฐานแนวคิดแบบ SURE อันประกอบด้วย 

S (Safety) หรือความปลอดภัย ทั้งในด้านผลิตภัณฑ์ กระบวนการการผลิต และการใช้งาน โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้บริโภคเป็นหลัก เช่น เม็ดพลาสติกศักยภาพสูงสำหรับอุปกรณ์การแพทย์ที่เอสซีจี เคมิคอลส์ ผลิตนั้น ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล และในอนาคตจะมีเม็ดพลาสติกเกรดพิเศษที่สามารถผ่านการฆ่าเชื้อด้วยกระบวนการผ่านรังสี Gamma Radiation เป็นรายแรกในอาเซียน เพื่อให้มั่นใจได้ในความปลอดภัยของผู้ใช้งาน 

U (Users Come First) คือ ผู้ใช้และผู้แปรรูปผลิตภัณฑ์มีความสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง เอสซีจี เคมิคอลส์ ผลิตเม็ดพลาสติกระดับพรีเมี่ยมสำหรับเป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพสูง มุ่งมั่นให้เกิดความสะดวกสบายแก่ผู้ใช้สินค้าและง่ายต่อกระบวนการแปรรูป 

R (Research and Development) หรือ การวิจัยและพัฒนาสินค้าในกลุ่ม HVA ซึ่งมีความลึกซึ้งและเข้มข้นมากกว่าปกติ เป็นการทำงานที่ต้องอาศัยความเข้าใจ ทักษะ และองค์ความรู้ในอีกระดับหนึ่ง ในทุกกระบวนการตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ ทำให้เกิดมีนวัตกรรมใหม่ๆ ในกระบวนการทำงานและในตัวสินค้า ด้วยการทุ่มงบประมาณด้านนี้จำนวน 370 ล้านบาท ในปี 2553

“ธุรกิจ HVA เป็นกลุ่มที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเห็นได้อย่างชัดเจนจากยอดขายในระดับร้อยละ 27 จากยอดขายทั้งหมดในปี 2552 และมีแผนที่จะเพิ่มเป็นร้อยละ 50 ของรายได้สินค้ารวม ภายในปี 2558  โดยสินค้า HVA หลักของเอสซีจี เคมิคอลส์ ประกอบด้วยเม็ดพสาสติกสำหรับบรรจุภัณฑ์ (Flexible Packaging) สำหรับชิ้นส่วนยานยนต์ และสำหรับอุปกรณ์ทางการแพทย์”

จากแนวโน้มของจำนวนประชากรผู้สูงวัยที่เพิ่มมากขึ้นในภูมิภาคเอเชีย การใส่ใจเรื่องสุขภาพอนามัยที่สูงขึ้น การระบาดของโรคติดต่อ การเกิดโรคใหม่ๆ ตลอดจนการขยายตัวของธุรกิจบริการด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและธุรกิจความงามของไทยที่กำลังได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติ ส่งผลให้อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องมือและอุปกรณ์การแพทย์ของไทยยังคงขยายตัวต่อเนื่องเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น

นายยุทธนากล่าวเสริมว่า “จากข้อมูลในปี 2550 การใช้เม็ดพลาสติกในอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องมือและอุปกรณ์การแพทย์ทั่วโลกในมีปริมาณถึง 3.2 ล้านตันต่อปี โดยมีการใช้พลาสติกโพลิโพรไพลีนถึง 473,000 ตัน หรือร้อยละ 15 ของปริมาณการใช้ทั้งหมด” 

เอสซีจี เคมิคอลส์ นับเป็นผู้นำในการพัฒนาเม็ดพลาสติกคุณภาพสูงหลากหลายเกรดสำหรับอุปกรณ์การแพทย์ต่างๆ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล และอยู่ในกระบวนการพัฒนาและทดสอบเม็ดพลาสติกที่สามารถผ่านวิธีการฆ่าเชื้อจากรังสีแกมม่าได้ (Gamma radiation) ซึ่งสามารถนำมาผลิตหลอดเข็มฉีดยา ฝาพลาสติกครอบเข็มฉีดยา ถ้วยเก็บตัวอย่าง หลอดทดลอง และอุปกรณ์การแพทย์อื่นๆ ที่มีความโปร่งใสมากเป็นพิเศษ 

ด้วยคุณภาพที่ทัดเทียมกับเม็ดพลาสติกที่นำเข้าจากต่างประเทศ แต่มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่า ทำให้ประเทศไทยสามารถลดการพึ่งพาการนำเข้าได้อย่างมาก นอกจากนั้น ยังมีส่วนช่วยส่งเสริมการพัฒนาของวงการแพทย์ของไทย และทำให้อุปกรณ์การแพทย์มีราคาประหยัดลงด้วย ซึ่งจะส่งผลให้ประชาชนทั่วไปมีคุณภาพชีวิตด้านสุขอนามัยและการรักษาพยาบาลที่ดีขึ้น

นอกจากนี้ ด้วยต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าวัตถุดิบชนิดเดียวกันที่ผลิตในทวีปอื่นๆ ทำให้เอสซีจี เคมิคอลส์ จะสามารถส่งออกเม็ดพลาสติกคุณภาพสูงเหล่านี้ไปในตลาดต่างประเทศที่ต่างมีความต้องการวัตถุดิบเพื่อใช้ในการผลิตอุปกรณ์การแพทย์เพิ่มขึ้นในอนาคต

“เราตั้งเป้าหมายการผลิตเม็ดพลาสติกโพลิโพรไพลีนสำหรับอุปกรณ์การแพทย์ทั้งสำหรับจำหน่ายในประเทศและส่งออกไว้ที่ 35,000 ตัน ภายในปี 2558 ซึ่งคาดว่ากำลังการผลิตดังกล่าวจะส่งผลให้เรามีส่วนแบ่งการตลาดในประเทศไทย ร้อยละ 30” นายยุทธนากล่าว

ทั้งนี้ ปัจจุบัน เอสซีจี เคมิคอลส์ได้ส่งออกสินค้าเม็ดพลาสติกชนิดต่างๆ ไปจำหน่ายในกว่า 100 ประเทศทั่วโลกแล้ว และมีสำนักงานตัวแทนในต่างประเทศทั้งหมด 8 สาขา ประกอบด้วย ประเทศพม่า เวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย จีน (เซี่ยงไฮ้และกวางเจา) ญี่ปุ่น และดูไบ