เนื้อหาวันที่ : 2010-06-07 10:18:25 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 687 views

Business Matching ระหว่างผู้ส่งออกข้าวไทยกับผู้นำเข้าสหรัฐฯ

ผู้ส่งออกข้าวจากประเทศไทย บริษัท Capital Rice จำกัด (STC Group) ได้เดินทางไปสหรัฐอเมริกา ระหว่าง เดือนพฤษภาคม – มิถุนายน 2553 เพื่อเปิดตลาดข้าวในสหรัฐฯ สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นครนิวยอร์กได้จัดทำนัดหมายให้พบผู้นำเข้าในเขตดูแล คือ รัฐแมรี่แลนด์ นิวเจอร์ซี่และ นิวยอร์ก จำนวน 9 บริษัท ได้แก่

.
- Eastlands    Maryland
- Rhee Brothers   Maryland
- Bangkok Market Corporation  Brooklyn, New York
- Well Luck    New Jersey
- Summit Import   New Jersey
- Tristar Foods   New Jersey
- C. Kenneth    Bronx, New York
- Tienley Enterprises   New York
- Pocas International   Brooklyn, New York
.

จากการพบผู้นำเข้าทั้ง 9 บริษัท บริษัท Capital Rice เห็นว่ามีช่องทางและโอกาสในการเข้าสู่ตลาดสูงถึงแม้ว่าจะมีคำถามจากผู้นำเข้าบางรายว่า Capital Rice เข้ามาช้าเกินไปหรือเปล่า เพราะตลาดข้าวไทย โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิเป็นตลาดใหญ่ในสหรัฐฯมาเป็นเวลานาน

.

ผู้บริโภครู้จักข้าวหอมมะลิจากไทยเป็นอย่างดี และมีผู้ส่งออกหลายรายส่งเข้ามาขายอย่างสม่ำเสมออยู่แล้ว การเป็น Supplier หน้าใหม่ในตลาดอาจไม่ใช่ เรื่องง่าย เพราะการค้าข้าวในสหรัฐฯ ไม่ได้ขึ้นกับราคาเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์และความ ไว้วางใจ ระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายเป็นอย่างมากด้วย

.
ข้อสรุปและความเห็น

1) การเดินทางมาเจาะตลาดด้วยตนเองของบริษัทผู้ส่งออกไทย เป็นวิธีการเจาะตลาดที่ถูกต้องในสถานการณ์ขณะนี้ ซึ่งผู้นำเข้ามีความกังวลในการเดินทางไปประเทศไทย การได้มีโอกาสพูดคุยและแนะนำตัว เป็นการสร้างความเชื่อมั่นว่าบริษัทมีความจริงใจในการทำการค้า

.

2) บริษัท Capital Rice ได้เคยมาเข้าร่วมงานแสดงสินค้า Summer Fancy Food ณ นครนิวยอร์ก ซึ่งกรมส่งเสรืมการส่งออกเป็นผู้จัด และพบว่างานแสดงสินค้าในสหรัฐฯเป็นงานที่มี Exhibitors ส่วนใหญ่เป็นผู้นำเข้าในสหรัฐฯ และ Visitors เป็น Wholesalers/Retailers ซึ่งไม่ใช่ลูกค้าโดยตรง ของ Supplier จากเมืองไทย

.

และหาก Thai Suppliers มีลูกค้าที่เป็นผู้นำเข้าสหรัฐฯ อยู่แล้ว จะเป็นการมาขายแข่งกับลูกค้าของตัวเอง ในปีนี้บริษัทจึงตัดสินใจไม่เข้าร่วมงานอีก (งานจะมีปลายเดือนมิถุนายน 2553) แต่ใช้วิธีเดินทางมาเจาะพบลูกค้าโดยตรง ซึ่งบริษัทมีความ เห็นว่าจะได้ผลมากกว่า

.

3) ผู้นำเข้าที่เป็นบริษัทไทยในสหรัฐฯส่วนใหญ่ จะนำเข้าข้าวหอมมะลิแท้ แต่ปัจจุบัน เนื่องจากมีการปลูกข้าวปทุมฯในไทยและมีราคาถูกกว่าข้าวหอมมะลิ ทำให้เกิดมีการนำเข้าข้าวหอมมะลิที่ปนข้าวปทุมฯในสัดส่วนที่สูงขึ้นทุกที โดยเฉพาะผู้นำเข้าที่เป็นบริษัทจีนและเกาหลี เนื่องจากราคาถูกกว่ากันมาก (แต่ยังมีป้ายสำแดงบนถุงบรรจุหีบห่อว่าเป็นข้าวหอมมะลิแท้) และข้าวดังกล่าวจะนิยมขายไปยัง Food Service ทั้งหลาย อาทิเช่น ร้านอาหาร ร้านของชำในย่านที่ผู้บริโภคมีรายได้ไม่สูง

.

4) ผู้นำเข้าข้าวหอมมะลิแท้ ต้องการให้รัฐบาลไทยดำเนินการในการแก้ไขปัญหาเรื่องข้าวหอมมะลิปลอมปนแต่ยังใช้ป้ายบนถุงบรรจุภัณฑ์ว่าเป็นข้าวหอมมะลิแท้ หากผู้นำเข้าที่ต้องการข้าวราคาถูกที่มีการผสมข้าวปทุมฯ ควรจะมีมาตรการบังคับให้แจ้งบนถุงว่ามีสัดส่วนของข้าวหอมมะลิเท่าใดและข้าวปทุมฯเท่าใด และมีการตรวจเข้มงวดและมาตรการลงโทษที่เด็ดขาด โดยเฉพาะห้ามมิให้ใช้ชื่อว่า “ข้าวหอมมะลิ Thai Jasmine Rice” หากสัดส่วนของข้าวหอมมะลิไม่ถึงตามที่กำหนด

.

5) หากยังไม่มีมาตรการที่เข้มงวดเรื่องคุณภาพข้าวหอมมะลิ ในอนาคตจะทำให้ชื่อเสียงของข้าวหอมมะลิที่สั่งสมมานานต้องถูกทำลายไป และผู้บริโภคไม่มีความเชื่อถือในการบริโภคข้าวหอมมะลิที่เป็นสินค้าระดับ Premium เนื่องจากไม่รู้ว่าอันไหนเป็นของจริงของปลอม ยกเว้นบริษัทที่มียี่ห้อของตัวเองติดตลาดแล้วว่าเป็นของแท้เท่านั้นที่จะอยู่ได้

.
สมจินต์ เปล่งขำ
สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นครนิวยอร์ก
.
ที่มา : กรมส่งเสริมการส่งออก