บีโอไอเผยยอดขอรับส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศช่วง 4 เดือนแรกของปี ขยายตัวเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนโครงการและมูลค่าเงินลงทุน หลังเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว รวมมูลค่าเงินลงทุนกว่า 5 หมื่นล้านบาท
บีโอไอเผยยอดขอรับส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ หรือ FDI ช่วง 4 เดือนแรกปี 2553 ขยายตัวเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนโครงการและมูลค่าเงินลงทุน หลังเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัวโดยโครงการลงทุนจากต่างประเทศที่ขอรับส่งเสริมมีจำนวน 245 โครงการรวมมูลค่าเงินลงทุนกว่า 5 หมื่นล้านบาท |
. |
นางอรรชกา สีบุญเรือง เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสิรมการลงทุน หรือบีโอไอ เปิดเผยถึง การลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ หรือ FDI (Foreign Direct Investment) ใน 4 เดือนแรกปี 2553 (ม.ค.-เม.ย. 53) ว่า นักลงทุนต่างชาติยังคงแสดงความสนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องโดยมีโครงการลงทุนจากต่างประเทศยื่นของรับส่งเสริมจำนวน 245 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.7 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2552 ซึ่งมีจำนวน 186 โครงการ |
. |
ส่วนมูลค่าเงินลงทุนของโครงการจากต่างประเทศก็ขยายตัวถึงร้อยละ 146 โดยในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ มีมูลค่าเงินลงทุนรวม 53,302 ล้านบาท ในขณะที่ช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้ามีมูลค่า 21,672 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และนำมาซึ่งการวางแผนลงทุนเพิ่มในระยะข้างหน้า |
. |
ทั้งนี้โครงการลงทุนจากต่างประเทศที่ยื่นขอส่งเสริมมีทั้งการลงทุนในโครงการใหม่ 130 โครงการและขยายการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติที่ลงทุนในไทยอยู่แล้ว 115 โครงการ ส่วนมูลค่าเงินลงทุนนั้นมาจากโครงการขยายกิจการประมาณ 28,786.4 ล้านบาท มากกว่าโครงการลงทุนใหม่ที่มีประมาณ 24,516.3 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ทั้งนักลงทุนต่างชาติรายเดิมที่เคยลงทุนในไทยแล้ว และนักลงทุนต่างชาติรายใหม่ที่ยังไม่เคยลงทุนในไทย ยังคงเชื่อมั่นในศักยภาพการเป็นแห่งน่าลงทุนของประเทศไทย |
. |
กิจการที่นักลงทุนต่างชาติยื่นของส่งเสริมและมีเงินลงทุนสูงสุด คือ กิจการผลิตผลิตภัณฑ์โลหะเครื่องจักรและอุปกรณ์ขนส่ง จำนวน 67 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวมประมาณ 16,911 ล้านบาท รองลงมาคือ กิจการบริการและสาธารณูปโภค 57 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวมประมาณ 12,697 ล้านบาทตามด้วยกิจการเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ 49 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนประมาณ 8,439 ล้านบาท |
. |
ญี่ปุ่นยังคงเป็นนักลงทุนที่ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนมากที่สุด มีจำนวนโครงการที่ขอรับส่งเสริม 99 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 25,611 ล้านบาท ซึ่งขยายตัวถึงร้อยละ 152 เมื่อเทียบกับมูลค่าเงินลงทุนของญี่ปุ่นในช่วงเดียวกันปี 2552 ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 10,148 ล้านบาท โดยโครงการขนาดใหญ่จากญี่ปุ่นที่ขอรับส่งเสริมการลงทุนได้แก่ กิจการผลิตชิ้นส่วนฮาร์ด ดิสก์ ไดรฟ์ กิจการผลิตชิ้นส่วนโลหะและชิ้นส่วนยานยนต์ |
. |
รองลงมาคือการลงทุนจากสิงคโปร์ จำนวน 25 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 6,897 ล้านบาท โดยมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ในกิจการผลิตสิ่งปรุงแต่งจากอาหาร และโครงการร่วมทุนระหว่างไทยสิงคโปร์ในการผลิตเคมีภัณฑ์ |
. |
อันดับสามคือ จีน มีโครงการที่ยื่นขอส่งเสริมรวม 9 โครงการ ปริมาณเงินลงทุน 6,443 ล้านบาทเพิ่มขึ้นกว่า 6 พันล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า เพราะมีโครงการขนาดใหญ่ผลิตพลังงานไฟฟ้า |
. |
ที่มา : สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) |