เนื้อหาวันที่ : 2010-05-17 12:17:35 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 2188 views

จากอุปทานอุปสงค์ : ปลายทางสินค้าอุตสาหกรรมไทยอยู่หนใด

การผลิตภาคอตุสาหกรรมซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่สุดในภาคอุปทาน มีความสัมพันธ์และสอดคล้องกับภาคอุปสงค์อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการผลิตเพื่อส่งออกหรือผลิตเพื่อใช้ภายในประเทศก็ตาม

บทวิเคราะห์เรื่อง จากอุปทานอุปสงค์ : ปลายทางสินค้าอุตสาหกรรมไทยอยู่หนใด1

.

.
บทสรุปผู้บริหาร

- การผลิตภาคอตุสาหกรรมซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่สุดในภาคอุปทาน มีความสัมพันธ์และสอดคล้องกับภาคอุปสงค์อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการผลิตเพื่อส่งออกหรือผลิตเพื่อใช้ภายในประเทศก็ตาม หากทั้งสองฝั่งของเศรษฐกิจมีความสัมพันธ์สูง เราจะสามารถใช้เครื่องชี้ทางเศรษฐกิจของฝั่งหนึ่งมาทำนายแนวโน้มของอีกฝั่งหนึ่งได้

.

- สำหรับสินค้าอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อเน้นการส่งออกนั้น พบว่า ปลายทางส่วนใหญ่อยู่ในเอเชีย และเราสามารถใช้เครื่องชี้ภาคอุตสาหกรรมของต่างประเทศ อันได้แก่ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายซื้อ และดัชนีผลประกอบการภาคอุตสาหกรรม มาเป็นเครื่องมือทำนายแนวโน้มการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่พึ่งพาตลาดต่างประเทศได้

.

- ส่วนสินค้าอุตสาหกรรมที่พึ่งพาทั้งภายนอกและภายในประเทศ พบว่า สินค้ากลุ่มนี้กระจายไปหลายภูมิภาคและสามารถใช้เครื่องชี้ภาคอุตสาหกรรมของต่างประเทศ และยอดจำหน่ายภายในประเทศ มาเป็นเครื่องชี้แนวโน้มการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่พึ่งพาทั้ง 2 ตลาดได้

.

- ในขณะที่สินค้าอุตสาหกรรมหมวดที่เน้นการบริโภคภายในประเทศนั้น เนื่องจากการรายงานตัวเลขยอดขายภายในประเทศจะออกล่าช้า 2 เดือน จึงต้องใช้ประโยชน์กลับด้านกัน คือใช้ผลผลิตภาคอตุสาหกรรมมาทำนายยอดขายสินค้า ทำนายการบริโภค และทำนายการจัดเก็บภาษี

.

- ความสัมพันธ์ทั้งสองด้านดังที่กล่าวมาแล้วนี้ มีความสำคัญในการวิเคราะห์และคาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรฐกิจทั้งในด้านดังที่กล่าวมาแล้วนี้ มีความสำคัญในการวิเคราะห์และคาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจทั้งในด้านอุปทานและอุปสงค์ได้ ซึ่งจะช่วยให้การคาดการณ์เศรษฐกิจมีความรวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น

.
1. ภาคอุตสาหกรรมมีบทบาทสำคัญในการชี้นำภาวะเศรษฐกิจไทย

- ในไตรมาส 4/52 GDP เติบโตถึงร้อยละ 5.8 ต่อปี ปฏิเสธไม่ได้ว่าภาคอุตสาหกรรมคือเครื่องจักรหลักในการฟื้นตัว ถัดมาคือคมนาคมขนส่งสื่อสาร และโรงแรมและภัตตาคาร (พิจารณาจากแหล่งที่มาของการเติบโต)

.

- ในด้านโครงสร้าง พบว่า เศรษฐกิจไทยด้านอุปทานในปี 2552 ประกอบด้วยภาคอุตสาหกรรมร้อยละ 41.2 ของ/GDP ภาคการเกษตรร้อยละ 8.9 ของ GDP และภาคบริการ 12 สาขารวมกันเป็นร้อยละ 49.9 ของ GDP บริการสำคัญ ได้แก่ ค้าส่งค้าปลีก (สัดส่วนร้อยละ 13.7) คมนาคมขนส่งสื่อสาร (สัดส่วนร้อยละ 9.9) โรงแรมและภัตตาคาร (สัดส่วนร้อยละ 3.7) เป็นต้น

.

ส่วนในด้านอัตราการเติบโต พบว่า ในไตรมาส 4/52 ภาคอุตสาหกรรมขยายตัวสูงถึงร้อยละ 9.9 ต่อปี (ไตรมาส 3/52 ยังหดตัวร้อยละ -5.9 ต่อปี) ในขณะที่ภาคบริการทั้ง 12 สาขานั้น ตัวที่โดดเด่นมากเป็นพิเศษคือ ภาคโรงแรมและภัตตาคารขยายตัวถึงร้อยละ 13.5 ต่อปี (ไตรมาส 3/52 ยังหดตัวร้อยละ -2.5 ต่อปี)

.

 - เมื่อนำมาคำนวณหาแหล่งที่มาของการเติบโตที่ร้อยละ 5.8 ต่อปี พบว่า มาจากอุตสาหกรรม คมนาคมขนส่งสื่อสาร และโรงแรมและภัตตาคาร เป็นสำคัญ ดังภาพที่ 1

.

ภาพที่ 1 แหล่งที่มาของการเติบโตด้านอุปทานใน Q4/52

.

- ส่วนเศรษฐกิจไทยทางด้านอุปสงค์ ประกอบด้วยการบริโภคภาคเอกชนสัดส่วนถึงร้อยละ 52.7 ของ GDP การลงทุนภาคเอกชนมีสัดส่วนร้อยละ 14.9 ของ GDP การใช้จ่ายภาครัฐมีสัดส่วนร้อยละ 15.6 ของ GDP การส่งออกและนำเข้าสุทธิร้อยละ 18.4 ของ GDP ซึ่งประกอบด้วยการส่งออกสินค้าและบริการร้อยละ 64.7 ของ GDP และการนำเข้าสินค้าและบริการร้อยละ 46.3 ของ GDP

.

ส่วนในด้านอัตราการเติบโต จะพบว่า ในไตรมาส 4/52 ตัวที่ขยายตัวได้โดดเด่นจนส่งผลให้เศรษฐกิจไทยกลับมาขยายตัวด้านบวกได้ คือ การส่งออกสินค้าและบริการ ที่ขยายตัวร้อยละ 4.1 ต่อปี (ไตรมาส 3/52 หดตัวถึงร้อยละ -14.8 ต่อปี)

.

- เมื่อนำมาคำนวณหาแหล่งที่มาของการเติบโตที่ร้อยละ 5.8 ต่อปี พบว่ามาจากการส่งออกสินค้าสุทธิและการส่งออกบริการสุทธิ เป็นสำคัญดังภาพที่ 2

.

ภาพที่ 2 แหล่งที่มาของการเติบโตด้านอุปสงค์ใน Q4/52

.

ประเด็นที่น่าสนใจด้านอุปทาน คือ อุตสาหกรรมหมวดยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเร็วมากในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาสะท้อนว่าเศรษฐกิจไทยผูกโยงกับอุตสาหกรรมหลัก 2 หมวดนี้อย่างมาก โดยในปี 2552 มีสัดส่วนรวมกัน 23.6 ของภาคอุตสาหกรรมทั้งหมด ในขณะที่ปี 2543 มีสัดส่วนรวมกันเพียง 11.7 ของอุตสาหกรรมทั้งหมด

.

ภาพที่ 3 สัดส่วนของ GDP อุตสาหกรรมสำคัญ 10 กลุ่ม ต่อ GDP ภาคอุตสาหกรรม

.

- เมื่อนำภาพที่ 2 มาผนวกกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในช่วงวิกฤตแฮมเบอเกอร์ที่ผ่านมา ทำให้เราตั้งสมมติฐานได้ว่า 1) การที่เราผูกโยงกับอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ที่กำลังเข้าสู่ภาวะถดถอยด้านการผลิตทั่วโลกนั้น ย่อมส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยผ่านการส่งออกที่หดตัวลงรุนแรง เศรษฐกิจไทยโดยรวมจึงหดตัวรุนแรงตามไปด้วย และ 2) อุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่พึ่งพาตลาดภายในประเทศจะได้รับผลกระทบในระลอกที่ 2 หลังจากที่เศรษฐกิจโดยรวมหดตัวผ่านการบริโภค การลงทุน และการผลิตที่หดตัวลง

.

- อย่างไรก็ตาม การส่งออกสินค้า การบริโภค และการลงทุน มีความเกี่ยวข้องกับภาคอุตสาหกรรมอย่างมีนัยสำคัญ เพราะเมื่อมีความต้องการใช้สินค้าเพื่อบริโภค เพื่อเป็นปัจจัยการผลิต และเพื่อส่งออก จึงเกิตการผลิตสินค้าเพื่อสนองความต้องการในด้านต่าง ๆ เหล่านั้น หากเราสามารถวิเคราะห์ความสัมพันธ์ดังกล่าวได้ในเชิงลึก เราจะสามารถคาดการณ์เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ได้จากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปทาน หรือคาดการณ์เศรษฐกิจด้านอุปทานได้จากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์

.
2. ปลายทางของการผลิตสิค้าอุตสาหกรรม คือ ส่งออกหรือขายในประเทศ

จากโครงสร้างเศรษฐกิจเราพบว่าในด้านอุปทาน ภาคอุตสาหกรรมมีขนาดใหญ่ที่สุด เครื่องชี้ที่ใช้อธิบายสถานการณ์เศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมที่ดีที่สุดคือ ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม (Manufacturing Production Index : MPI) ส่วนในด้านอุปสงค์ ภาคการส่งออกสินค้ามีขนาดใหญ่ที่สุด เครื่องชี้ที่ใช้อธิบายได้โดยตรงคือ มูลค่าการส่งออกสินค้า

.

เมื่อนำข้อมูล MPI ทั้งโดยรวมและรายอุตสาหกรรม ตั้งแต่เดือนมกราคม 2551 ถึงเดือนธันวาคม 2552 มาหาว่ามีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญหรือไม่อย่างไร กับมูลค่าการส่งออกสินค้าและยอดขายภายในประเทศในสินค้าหมวดเดียวกัน โดยหาค่าสหสัมพันธ์ (Correlation) จะได้ค่าดังตารางต่อไปนี้

.

ตารางที่ 1 ค่าสหสัมพันธ์ของผลผลิตภาคอุตสาหกรรมกับมูลค่าการส่งออก และค่าสหสัมพันธ์ของผลผลิตภาคอุตสาหกรรมกับยอดขายในประเทศ

ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม, กระทรวงพาณิชย์,ธนาคารแห่งประเทศไทย คำนวณโดยสศค.
.

จากตารางที่ 1 โดยรวมแล้ว การผลิตภาคอุตสาหกรรมมีความสัมพันธ์ไปในทิศทางเดียวกับมูลค่าการส่งออกสินค้าสูงถึงร้อยละ 83.7 แต่การศึกษานี้เราสามารถจำแนกสินค้าอุตสาหกรรมออกตามปลายทางที่สินค้าเดินทางไปออกได้เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ปลายทางอยู่ต่างประเทศประกอบด้วย 4 สินค้าอุตสาหกรรม   

.

กลุ่มที่ปลายทางมีทั้งต่างประเทศและในประเทศประกอบด้วย 4 สินค้าอุตสาหกรรม และกลุ่มที่ปลายทางอยู่ภายในประเทศประกอบด้วย 4 สินค้าอุตสาหกรรม รวมทั้ง 12 สินค้าอุตสาหกรรมมีสัดส่วนร้อยละ 46.6 และ 36.9 ใน MPI และมูลค่าสินค้าอุตสาหกรรมส่งออก ตามลำดับ

.
3. สินค้าอุตสาหกรรมที่มีปลายทางอยู่ต่างประเทศ
ตลาดสำคัญของสินค้าอุตสาหกรรมที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลักส่วนใหญ่อยู่ในเอเชีย

จากตารางที่ 1 จะเห็นได้ว่า อุตสาหกรรมที่เน้นการส่งออกได้แก่ หมวดคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้าเครื่องปรับอากาศ และเม็ดพลาสติก โดยเราสามารถสรุปประเทศคู่ค้าหลัก 3 อันดับแรกของสินค้าอุตสาหกรรมหมวดดังกล่าวได้ ดังนี้

.

ตารางที่ 2 ตลาดสำคัญของสินค้าอุตสาหกรรมที่เน้นการส่งออก ในปี 2552

ที่มา : กระทรวงพาณิชย์, คำนวณโดยสศค.
.
แนวโน้มและทิศทางของการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม

จากตารางที่ 2 จะเห็นได้ว่า สินค้าอุตสาหกรรมที่เน้นการส่งออกแต่ละหมวด มีประเทศคู่ค้าสำคัญที่แตกต่างกันไป แต่จะมีประเทศกลุ่มสำคัญที่เป็นคู่ค้าหลักของสินค้าหลายหมวด อันได้แก่ สหรัฐอเมริการ จีน ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และฮ่องกง ดังนั้นแนวโน้มอุตสาหกรรมข้างต้น ย่อมเกี่ยวกันกับเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้อย่างหลีกเลี่ยวไม่ได้

.

ดังนั้น เราจะศึกษาสภาพเศรษฐกิจคร่าว ๆ ของเศรษฐกิจดังกล่าว โดยดูจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายซื้อภาคอุตสาหกรรม (Purchasing Manager Index : PMI) ของประเทศสหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น และฮ่องกง ซึ่งเป็นเครื่องชี้อันดีของการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม

.

นอกจากนั้น จากการศึกษาของ Markit PMI ยังเป็นดัชนีชี้นำ (Leading Indicator) ของการเติบโตทางเศรษฐกิจอีกด้วย  จากรูปที่ 3 เราจะเห็นได้ว่า ภาคอุตสาหกรรมของทั้ง 4 ประเทศยังคงมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง หลังจากผ่านจุดต่ำสุดในช่วงปลายปี 2551 ต่อเนื่องถึงต้นปี 2552 โดย สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และฮ่องกงมีการฟื้นตัว2 ในช่วงเดือน กรกฎาคม ถึงเดือนสิงหาคม 2552

.

ในขณะที่ภาคอุตสาหกรรมจีนเริ่มกลับมาขยายตัวตั้งแต่เดือนมีนาคม 2552 ถึงแม้การขยายตัวจะเริ่มคงที่และบางครั้งชะลอลงเล็กน้อย แต่ก็ยังนับว่าภาคอุตสาหกรรมของทั้ง 4 ประเทศยังคงมีเสถียรภาพและขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบ่งชี้ว่าอุปสงค์ต่อสินค้าอุตสาหกรรมไทยมีปลายทางอยู่ที่ประเทศดังกล่าวยังคงมีอนาคตสดใส

.

ภาพที่ 4 ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคอุตสาหกรรม ของ 4 ประเทศคู่ค้าใหญ่

.

.

.

ที่มา : REUTERS, กระทรวงพาณิชย์ คำนวณโดยสศค.
.
4. อุตสาหกรรมที่มีปลายทางอยู่ในต่างประเทศและภายในประเทศ (พึ่งพาทั้งส่งออกและใช้ในประเทศ)

- ตลาดสำคัญของสินค้าอุตสาหกรรมที่มีปลายทางอยู่ในต่างประเทศและภายในประเทศ พบว่าปลายทางกระจายอยู่ทั้งในเอเชีย สหรัฐฯ และยุโรป

.

จากตารางที่ 1 พบว่า มีสินค้า 2 หมวดที่มีค่าสหสัมพันธ์สูง ทั้งการขายตลาดต่างประเทศและขายภายในประทเศ ได้แก่ รถยนต์และส่วนประกอบ วิทยุโทรทัศน์ เคมีภัณฑ์ และผลิตภัณฑ์ยาง จึงสรุปได้ว่า สินค้าทั้ง 4 รายการนี้ มีการกระจายตลาดค่อนข้างดี ซึ่งน่าจะเป็นสินค้าที่สามารถทำกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงได้มากที่สุด เนื่องจากหากตลาดต่างประเทศลดอุปสงค์ลงก็ยังสามารถกระจายตลาดโดยเน้นการขายภายในประเทศเพื่อเติมเต็มส่วนที่ขาดได้

.
ตารางที่ 3 ตลาดสำคัญของสินค้าอุตสาหกรรมที่เน้นการส่งออกและการขายภายในประทเศ ในปี 2552

ที่มา : กระทรวงพาณิชย์, คำนวณโดยสศค.
.

สำหรับประเทศออสเตรเลีย ซึ่งถือเป็นตลาดที่สำคัญที่สุดสำหรับรถยนต์ไทยนั้น ไม่มีการจัดทำดัชนีผู้จัดการฝ่ายซื้อภาคอุตสาหกรรม แต่เราสามารถสังเกตแนวโน้มของภาคอุตสาหกรรมได้จากดัชนีผลประกอบการภาคอุตสาหกรรม (Performance on Manufacturing Index) ที่จัดทำโดย The Australian Industry. Group และบริษัท PricewaterhouseCoopers ซึ่งมีการจัดทำคล้ายคลึงกับดัชนี PMI ของประเทศอื่น ๆ และมีการตีความที่คล้ายคลึงกัน กล่าวคือ ดัชนีที่อยู่สูงกว่าระดับ 50 บ่งชี้ถึงการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม

.

ภาพที่ 5 ดัชนีผลประกอบการภาคอุตสาหกรรมของออสเตรเลย

ที่มา : CEIC, กระทรวงพาณิชย์ คำนวณโดยสศค.
.

จากภาพที่ 5 เราจะเห็นได้ว่า ภาคอุตสาหกรรมของออสเตรเลียเริ่มกลับมาขยายตัวแล้ว ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3 ของปี 2552 และมีการหดตัวบ้างในเดือนธันวาคม 2552 เนื่องจากเทศกาลวันหยุดทำให้จำนวนวันทำการน้อยกว่าเดือนอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม ในเดือนมกราคม 2553 ภาคอุตสาหกรรมออกเตรเลียกลับมาขยายตัวอีกครั้งในระดับที่ใกล้เคียงกับระดับก่อนภาวะวิกฤตแล้ว บ่งชี้ว่าอุปสงค์ออสเตรเลียต่อสินค้าอุตสาหกรรมไทย โดยเฉพาะเครื่องปรับอากาศและรถยนต์และส่วนประกอบน่าจะมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

.
4. อุตสาหกรรมที่มีปลายทางอยู่ในประเทศ

จากตารางที่ 1 จะเห็นได้ว่า อุตสาหกรรมที่พึ่งพาตลาดภายในประเทศ ได้แก่ เบียร์ เหล็ก น้ำมันสำเร็จรูป และอโลหะ มีทิศทางเดียวกันกับยอดขายภายในประเทศ ซึ่งสามารถแสดงในรูปแบบของตารางได้ ดังนี้

.
ตารางที่ 4 หมวดอุตสาหกรรมที่พึ่งพาตลาดภายในประเทศและค่าสหสัมพันธ์กับยอดขายภายในประเทศ

ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย, กรมธุรกิจพลังงาน, คำนวณโดยสศค.
.

จากตารางที่ 4 จะพบว่า การผลิตเบียร์ เหล็ก น้ำมันสำเร็จรูป และปูนซีเมนต์ เป็นไปในทิศทางเดียวกับยอดขายภายในประเทศ ซึ่งบ่งชี้ว่า การผลิตของ 4 อุตสาหกรรมข้างต้น เป็นการผลิตเพื่อเน้นในการใช้บริโภคภายในประเทศ จากข้อมูลดังกล่าว ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมสามารถนำไปใช้ในการคาดการณ์การบริโภค การลงทุนก่อสร้าง และการจัดเก็บภาษีได้ดี

.

สำหรับ 3 อุตสาหกรรมที่การศึกษานี้พยายามอธิบายคือ อัญมณีและเครื่องประดับ และอาหาร มีความสัมพันธ์แตกต่างจากอุตสาหกรรมอื่น แต่ยังคงมีความสัมพันธ์กับการส่งออกให้เห็นบ้างในบางช่วงเวลาโดยอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ หากเปลี่ยนช่วงเวลามาใช้ปี 2552 ในการคำนวณ พบว่า การผลิตและการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับมีค่าสหสัมพันธ์อยู่ที่ 0.7633 จากเดิมที่คำนวณตลอดช่วงที่ศึกษาพบว่ามีค่าสหสัมพันธ์อยู่ในระดับต่ำ ทั้งนี้เป็นผลมาจากราคาและความต้องการมีความผันผวน ดังภาพที่ 6

.
ภาพที่ 6 ความสัมพันธ์ของการผลิตและส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับ

ที่มา : กระทรวงพาณิชย์, คำนวณโดยสศค.
.

สำหรับอุตสาหกรรมอาหาร พบว่า หากเปลี่ยนช่วงเวลาเป็นการผลิตในเดือนมกราคม 2551 ถึงเดือน พฤษภาคม 2552 ส่วนการส่งออกใช้ช่วงเดือนสิงหาคม 2551 พบว่า ค่าสหสัมพันธ์อยู่ที่ 0.6314 สามารถอธิบายได้ว่า การผลิตในเดือนที่ 1 สามารถนำไปชี้การส่งออกอุตสาหกรรมอาหารในเดือนที่ 8

.

ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะการเร่งการผลิตสินค้าเกษตรจำพวกผัก ผลไม้ และสินค้าประมงนั้น ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยที่ไม่แน่นอน ได้แก่ ฤดูกาล ราคาสินค้าวัตถุดิบ ราคาสินค้าที่ขายได้ การเคลื่อนย้ายแรงงานออกไปภาคเกษตร ภัยแล้ง โลกร้อน เป็นต้น

.
5. สรุป

- การผลิตภาคอุตสาหกรรมซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่สุดในภาคอุปทาน มีความสัมพันธ์และสอดคล้องกับภาคอุปสงค์อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการผลิตเพื่อส่งออกหรือผลิตเพื่อใช้ภายในประเทศก็ตาม หากทั้งสองฝั่งของเศรษฐกิจมีความสัมพันธ์สูง โดยดูจากค่าสหสัมพันธ์เป็นสำคัญ เราจะสามารถใช้เครื่องชี้ทางเศรษฐกิจของฝั่งหนึ่งมาทำนายแนวโน้มของอีกฝั่งหนึ่งได้

.

- สำหรับสินค้าอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อเน้นการส่งออกนั้น เราสามารถใช้เครื่องชี้ภาคอุตสาหกรรมของต่างประเทศ อันได้แก่ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายซื้อ และดัชนีผลประกอบการภาคอุตสาหกรรม มาเป็นเครื่องชี้แนวโน้มภาคการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่พึ่งพาตลาดต่างประเทศได้

.

- ส่วนสินค้าอุตสาหกรรมที่พึ่งพาทั้งภายนอกและภายในประเทศ สามารถใช้เครื่องชี้ภาคอุตสาหกรรมของต่างประเทศและยอดจำหน่ายภายในประเทศ มาเป็นเครื่องชี้แนวโน้มการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่พึ่งพาทั้ง 2 ตลาดได้

.

 - ในขณะที่สินค้าอุตสาหกรรมหมวดที่เน้นการบริโภคภายในประเทศนั้น เนื่องจากการรายงานตัวเลขยอดขายสินค้าทำนายการบริโภค ทำนายการจัดเก็บภาษี

.

 - ความสัมพันธ์ทั้งสองด้านดังที่กล่าวมาแล้วนี้ มีความสำคัญในการวิเคราะห์และคาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจทั้งในด้านอุปทานและอุปสงค์ได้ ซึ่งจะช่วยให้การคาดการณ์เศรษฐกิจมีความรวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น

.

1ผู้เขียน ดร.พิมพ์นารา  หิรัฐกสิ  เศรษฐกรปฏิบัติการ และนายก่อพงษ์  บุญยการ  เศรษฐกรตรี  ส่วนแบบจำลองและประมาณการเศรษฐกิจการคลัง สำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค ขอบขอบคุณ คุณพงศ์นคร  โภชากรณ์ สำหรับคำแนะนำ
2ดัชนี PMI ที่อยู่สูงกว่าระดับ 50 บ่งชี้ถึงการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม ในขณะที่ระดับต่ำกว่า 50 หมายถึงการหดตัว
.
ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง