เนื้อหาวันที่ : 2010-04-26 09:56:25 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1996 views

แสนสิริปลื้มปิดยอดขายไตรมาสแรกทะลุเกินเป้า

แสนสิริปิดยอดขายไตรมาสแรกสวยงามเกินเป้าหมาย 5,200 ล้านบาท โชว์ยอดโอนทะลัก 6.5 พันล้านบาท พร้อมโอนหุ้นรอบสุดท้ายลุล่วง ขึ้นแท่นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 24.1%

แสนสิริปิดยอดขายไตรมาสแรกสวยงามเกินเป้าหมาย 5,200 ล้านบาท โชว์ยอดโอนทะลัก 6.5 พันล้านบาท  พร้อมโอนหุ้นรอบสุดท้ายลุล่วง ขึ้นแท่นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 24.1%

.

.

กลุ่มแสนสิริ ประสบความสำเร็จอย่างสูงจากการขายโครงการที่อยู่อาศัย ปิดไตรมาสแรกปี 2553 ด้วยยอดขาย 5,200 ล้านบาท เกินเป้าหมายยอดขายไตรมาสแรกที่ตั้งไว้ 5,000 ล้านบาท เผยลูกค้าทยอยโอนต่อเนื่อง ก่อนหมดอายุมาตรการลดหย่อนภาษีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

.

ส่งผลยอดโอนทะลัก 6,500 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายยอดโอนไตรมาสแรกที่ตั้งไว้ 5,200 ล้านบาท จากเป้าหมายยอดโอนทั้งกลุ่มภายในสิ้นปี 2553 มูลค่า 17,500 ล้านบาท เดินหน้ารุกขยายฐานตลาดที่อยู่อาศัยต่อเนื่อง โดยจ่อคิวเปิดคอนโดฯ ใหม่ระดับพรีเมี่ยมย่านซีบีดี ขณะที่มียอดขายล่วงหน้า (Pre-Sale Back Log) แล้ว 15,000 ล้านบาท สามารถรองรับการเติบโตได้อย่างมั่นคงและแข็งแกร่งในทุกสภาวะทางเศรษฐกิจ 

.

นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แผนการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัทแสนสิริในช่วงไตรมาสแรกของปี 2553 ประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจเป็นอย่างมาก ทั้งโครงการคอนโดมิเนียม PYNE by Sansiri ที่ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี สามารถปิดการขายได้ภายในระยะเวลาเพียง 1 วัน

.

รวมทั้งโครงการบ้านเดี่ยวและโครงการทาวน์เฮาส์ โดยสามารถสร้างยอดขายรวมได้ถึงประมาณ 5,200 ล้านบาท เกินจากเป้าหมายยอดขายไตรมาสแรกที่ตั้งไว้ประมาณ 5,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 25% ของยอดขายทั้งปีที่วางเป้าหมายไว้ที่ ประมาณ 22,000 ล้านบาท จึงเชื่อมั่นว่ากลุ่มบริษัทแสนสิริ จะสามารถสร้างยอดขายจากโครงการที่อยู่อาศัยปี 2553 ได้ตามเป้าหมายอย่างแน่นอน 

.

นอกจากนี้ ในปีนี้กลุ่มบริษัทแสนสิริยังมีพันธกิจที่สำคัญที่จะต้องส่งมอบที่อยู่อาศัยให้กับลูกค้าตามสัญญาเป็นมูลค่าเกือบ 17,500 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นยอดการโอนที่สูงมากในอันดับต้น ๆ ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยในไตรมาสแรกสามารถส่งมอบที่อยู่อาศัยให้กับลูกค้าเป็นจำนวนมากถึง 1,191 ยูนิต มูลค่าประมาณ 6,500 ล้านบาท

.

โดยเฉพาะในเดือนมีนาคม เพียงแค่เดือนเดียวมียอดการโอนสูงถึง 4,000 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายยอดโอนไตรมาสแรกที่ตั้งไว้ประมาณ 5,200 ล้านบาท และมากกว่ายอดโอนในช่วงเดียวกันของปี 2552 ที่ผ่านมาคิดเป็น 126% โดยแบ่งเป็นยอดโอนโครงการคอนโดมิเนียมจำนวน 568 ยูนิต มูลค่าประมาณ 3,700 ล้านบาท โครงการบ้านเดี่ยวจำนวน 432 ยูนิต มูลค่า 2,100 ล้านบาท และโครงการทาวน์เฮาส์จำนวน 191 ยูนิต มูลค่าประมาณ 700 ล้านบาท

.

“ปัจจัยที่สนับสนุนให้การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยของแสนสิริประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสแรกของปี 2553 นี้ เกิดจากการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่มได้เป็นอย่างดี

.

ประกอบกับผลจากการขายที่อยู่อาศัยพร้อมเข้าอยู่เพื่อรองรับการโอนก่อนมาตรการลดหย่อนภาษีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะหมดลง ส่งผลให้มียอดโอนจากลูกค้าอย่างต่อเนื่อง” นายเศรษฐา กล่าว 

.

สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในช่วงไตรมาสที่ 2 ของกลุ่มบริษัทแสนสิริจะเน้นใช้กลยุทธ์การทำการตลาดภายใต้แนวคิด ‘THE  ICONIC LIVING’ ซึ่งจะเป็นยุทธศาสตร์การทำการตลาดตลอดปี 2553 ในการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของลูกบ้านหรือเข้าไปอยู่ในใจของผู้บริโภค

.

นอกจากนี้ยังมีแผนเปิดตัวคอนโดมิเนียมระดับพรีเมียมที่ตอบรับไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยในชีวิตเมืองอย่างแท้จริง ขณะที่มียอดขายล่วงหน้าที่รอรับรู้รายได้ในอีก 1 – 3 ปี ประมาณ 15,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างความมั่นคงระยะยาวให้กับบริษัทได้เป็นอย่างดี 

.

ด้านความคืบหน้าการเจรจาซื้อหุ้นของบริษัทฯ จากกองทุนต่างชาติในส่วนที่เหลือ เพื่อให้ครบตามที่ได้เคยแสดงเจตนาไว้นั้น ขณะนี้ได้มีการดำเนินการเรียบร้อยแล้ว โดยในวันนี้ (1 เมษายน 2553) กลุ่มของนายเศรษฐา ได้ทำการซื้อหุ้นเพิ่มเติมจากกองทุนต่างชาติอีกจำนวน 139.9 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 5 บาท 

.

ซึ่งเมื่อรวมกับจำนวนหุ้นที่กลุ่มนายเศรษฐา ถืออยู่ ณ เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา จำนวน 215.4 ล้านหุ้น   ทำให้ปัจจุบันกลุ่มนายเศรษฐา ได้ขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของแสนสิริ ถือหุ้นรวมกันเป็นจำนวน 355.3 ล้านหุ้น หรือประมาณร้อยละ 24.1 ของทุนที่ออกและจำหน่ายได้แล้วของบริษัทฯ  

.

สำหรับทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์หลังรัฐบาลต่ออายุมาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ นายเศรษฐา ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า “การที่รัฐบาลขยายระยะเวลาสิ้นสุดมาตรการลดหย่อนภาษีอสังหาริมทรัพย์ออกไปอีกเป็นระยะเวลา 2 เดือน นับเป็นเรื่องที่ดีสำหรับผู้บริโภคที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัย จะได้มีระยะเวลาในการเลือกที่อยู่อาศัยที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการและสามารถขยายเวลาการตัดสินใจซื้อได้เพิ่มขึ้น

.

ในส่วนของผู้ประกอบการเองก็เป็นช่วงเวลาที่จะเร่งออกแคมเปญกระตุ้นการขาย เพื่อระบายสินค้าที่มีอยู่ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการมีกระแสเงินสดหมุนเวียนและลดภาระต้นทุน ทั้งนี้คาดว่าการซื้อขายที่อยู่อาศัยน่าจะมีความคึกคักอย่างต่อเนื่อง”