นักวิเคราะห์ปรับเพิ่มคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจ ชี้ปัจจัยบวกจากเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นเป็นแรงหนุน แนะรัฐจับตาการเมือง มาบตาพุด และเงินเฟ้อ พร้อมเร่งสางปัญหาสำคัญ
นักวิเคราะห์ปรับเพิ่มคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจ ชี้ปัจจัยบวกจากเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นเป็นแรงหนุน แนะรัฐจับตาการเมือง มาบตาพุด และเงินเฟ้อ พร้อมเร่งสางปัญหาสำคัญ |
. |
. |
ปัจจัยบวกหนุนนักวิเคราะห์ปรับเพิ่มคาดการณ์ตัวเลขสำคัญทางเศรษฐกิจ โดย นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เปิดเผยผลสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์ครั้งล่าสุดว่า นักวิเคราะห์ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ดัชนีหุ้นปลายปี 53 เป็นเฉลี่ย 827 จุด จากคาดการณ์เดือนธันวาคม 812 จุด และคาดดัชนีหุ้นปลายปี 54 อยู่ที่ 946 จุด โดยประเมินดัชนีสูงสุดในปี 53 ไว้ที่ 861 จุด และต่ำสุดที่ 643 จุด |
. |
ซึ่งปัจจัยบวกมาจากแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าของไทย และเศรษฐกิจไทย ซึ่งรวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง แนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน และอัตราดอกเบี้ยที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ ทำให้นักวิเคราะห์ปรับเพิ่มประมาณการอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจปี 53 เป็น 4.0% เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 3.5% และตัวเลขปี 54 จะเติบโต 4.5% |
. |
นอกจากนี้ แนะภาครัฐจับตาปัญหาสำคัญสามเรื่อง ได้แก่ ปัญหาทางการเมือง ปัญหามาบตาพุด และปัญหาเงินเฟ้อ พร้อมเร่งดำเนินการสามด้าน คือ เร่งรัดการเบิกจ่ายและการดำเนินโครงการไทยเข้มแข็ง สร้างความสมานฉันท์ในสังคม รวมถึงแก้ปัญหามาบตาพุด |
. |
มีสำนักวิจัยจากบริษัทหลักทรัพย์แสดงความเห็นโดยรวม 22 แห่ง |
สถานการณ์ทางการเมือง (มีผู้ตอบ 21 แห่ง) |
โอกาสที่จะเกิดความรุนแรงทางการเมืองในช่วง 3 เดือนนี้ |
. |
ความหมายของ “ความรุนแรงทางการเมือง” ในความเห็นของนักวิเคราะห์ ที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้น |
. |
ถนนสำคัญหลายสาย หรือสาธารณูปโภคของชาติ หรือสนามบิน ท่าเรือขนส่งสินค้า หรือสถานที่สำคัญอื่น ๆ |
- เกิดรัฐประหารขึ้น 67% ของผู้ตอบ |
. |
ผลกระทบของความรุนแรงทางการเมืองที่มีต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้น |
. |
สมมติฐานหลักที่นักวิเคราะห์ใช้ประกอบการทำบทวิเคราะห์ในขณะนี้จนถึงสิ้นปี 2553 |
- ปัจจัยบวก |
. |
- ปัจจัยลบ (มีผู้ตอบ 21 แห่ง) |
1) ปัจจัยทางการเมืองภายในประเทศรวมถึงเสถียรภาพรัฐบาลและปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ 73% ของผู้ตอบ |
. |
ปัญหาใดในปี 2553 ที่ภาครัฐต้องจับตาและเตรียมการรองรับมากที่สุด (มีผู้ตอบ 20 แห่ง) |
. |
ข้อแนะนำมาตรการใหม่ในปี 2553 ให้รัฐบาลดำเนินการโดยเร็ว เพื่อเป็นประโยชน์ต่อภาวะเศรษฐกิจ สังคม และตลาดทุนไทย (มีผู้ตอบ 16 แห่ง) |
- เร่งโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและการใช้จ่ายภาครัฐ รวมถึงเร่งรัดการเบิกจ่ายและการ 63% ของผู้ตอบ |
. |
ตัวเลขคาดการณ์ที่สำคัญ สำหรับปี 2553 และ ปี 2554 |
. |
+ จุดสูงสุด ของ SET Index ในปี 2553 นักวิเคราะห์ประเมินไว้ที่เฉลี่ย 861 จุด เพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิมที่ 845 จุด + จุดต่ำสุด ของ SET Index ในปี 2553 นักวิเคราะห์ประเมินไว้ที่เฉลี่ย 643 จุด เพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิมที่ 625 จุด - ปี 2554 + ณ สิ้นปี 2554 นักวิเคราะห์ประเมิน SET Index ณ สิ้นปี 2554 ไว้ที่เฉลี่ย 946 จุด |
. |
- อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ หรือ GDP Growth - ของปี 2553 นักวิเคราะห์คาดการณ์อัตราการขยายตัวเฉลี่ยที่ 4% ดีขึ้นจากประเมินครั้งที่แล้วที่คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 3.5% - ของปี 2554 นักวิเคราะห์ประเมินว่าในปี 2553 เศรษฐกิจจะมีอัตราการขยายตัวเฉลี่ยที่ 4.5% |
. |
- ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน หรือ EPS Growth ทั้งปี 2553 คาดการณ์มีการเติบโต เฉลี่ยที่ 13.9% - อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทและดอลลาร์สรอ. - ณ สิ้นปี 2553 ตัวเลขคาดการณ์เฉลี่ยที่ 32.2 บาทต่อดอลลาร์สรอ. - ณ สิ้นปี 2554 ตัวเลขคาดการณ์เฉลี่ยที่ 31.4 บาทต่อดอลลาร์สรอ. |
. |
- อัตราดอกเบี้ย RP 1 วัน ณ สิ้นปี 2553 - อัตราดอกเบี้ย RP 1 วัน นักวิเคราะห์ประเมินอัตราดอกเบี้ย RP 1 วันสิ้นปี 53 เฉลี่ยที่ 1.8% |
. |
- ช่วงเวลาที่คาดว่าจะเริ่มสูงขึ้น + ครึ่งแรกของปี 2553 56 % + ครึ่งหลังของปี 2553 44 % |
. |
ดัชนีราคาผู้บริโภค หรือ Consumer Price Index (CPI) เฉลี่ยทั้งปี 2553 คาดว่าจะอยู่ที่ 3.3% |
. |
อัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) ของกลุ่มธุรกิจสำคัญ ในปี 2553 - ปี 2553 กลุ่มธุรกิจที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้นสูงที่สุดสามอันดับแรก คือ |
. |
1. กลุ่มเดินเรือ คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ยที่ 63.40 % |
. |
อัตราผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend Yield) ของกลุ่มธุรกิจสำคัญ ในปี 2553 |
- ปี 2553 นักวิเคราะห์ประเมินอัตราผลตอบแทนเงินปันผลของกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ โดยกลุ่มธุรกิจที่คาดว่าจะมีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูงที่สุดสามอันดับแรก คือ |
. |
1. กลุ่มสื่อสาร ประเมินอัตราผลตอบแทนไว้ที่ 6.59 % 2. กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ คาดไว้ที่ 6.30 % 3. กลุ่มอาหาร คาดว่าอยู่ที่ 5.02 % |
. |
คำแนะนำแก่นักลงทุน |
- สำหรับการลงทุนระยะกลาง-ยาว แนะนำให้ลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง มีเงินปันผลสูง ฐานะการเงินดี ผู้บริหารมีความสามารถและโปร่งใส โดยพิจารณาข้อมูลพื้นฐานทั้งในระดับมหภาคและจุลภาค ซึ่งรวมถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั้งในไทยและต่างประเทศ การปรับตัวสูงขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ย |
. |
นอกจากนี้ พิจารณาเลือกลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน รวมถึงกลุ่มที่จะได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล |
. |
- สำหรับการลงทุนระยะสั้น ควรลงทุนอย่างมีสติและระมัดระวัง ไม่เก็งกำไรโดยไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ ไม่เชื่อข่าวลือ ไม่ตื่นตระหนก ควรซื้อเมื่อราคาอ่อนตัวในหุ้นพื้นฐานดี และขายในจังหวะที่เหมาะสมเพื่อทำกำไร หรือตัดขาดทุน |