แนวโน้มสำคัญ 5 ประการของ FDI กำลังมีบทบาทสำคัญต่อประเทศต่าง ๆ และทิศทางการกำหนดนโยบายอย่างมีนัยสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น การชะลอตัวของการลงทุนโดยตรงและเพิ่มขึ้นของ Divestment การเพิ่มขึ้นของมาตรการกีดกันการลงทุนในบางธุรกิจ การเพิ่มขึ้นของความตกลงระหว่างประเทศ การลดลงของความซับซ้อนของระบบภาษีและอัตราภาษี การเพิ่มขึ้นของความท้าทายต่อนโยบายด้านโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ
กฤติกา โพธิ์ไทรย์ |
. |
. |
บทสรุปผู้บริหาร |
แนวโน้มสำคัญ 5 ประการของ FDI (Foreign Direct Investment : FDI) กำลังมีบทบาทสำคัญต่อประเทศต่าง ๆ และทิศทางการกำหนดนโยบายอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ |
. |
1. การชะลอตัวของการลงทุนโดยตรงและเพิ่มขึ้นของ Divestment ในปี 2009 FDI inflow ของโลกชะลอตัวลง โดยลดลงกว่าร้อยละ 39 เมื่อเทียบกับปี 2008 ขณะที่ Divestment (การไหลย้อนกลับของการลงทุนโดยการดึงเงินลงทุนกลับสู่บริษัทแม่ในรูปแบบต่าง ๆ ) เพิ่มขึ้น และระดับการลงทุนโดยตรงของโลกจะต้องใช้เวลาอีก 4-5 ปี กว่าจะมีระกับเท่ากับปี 2007 ที่มีมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ |
. |
2. การเพิ่มขึ้นของมาตรการกีดกันการลงทุนในบางธุรกิจ พบว่ามีการใช้นโยบายที่เป็นอุปสรรคต่อ FDI ในหลายธุรกิจเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจที่ส่งผลต่อความมั่นคงของชาติ และธุรกิจที่เกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและที่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษจนถึงมีการกีดกันคือ การลงทุนของกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (Sovereign Wealth Funds : SWFs) และรัฐวิสาหกิจต่างชาติ |
. |
3. การเพิ่มขึ้นของความตกลงระหว่างประเทศ พบว่าจำนวนความตกลงที่เกี่ยวกับการลงทุนในระดับทวิภาคี (Bilateral investment treaties : BITs) และอนุสัญญาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อน (Double taxation treaties : DTTs) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น |
. |
4. การลดลงของความซับซ้อนของระบบภาษีและอัตราภาษี แนวโน้มในการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลทั้งในประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนาเพิ่มขึ้น นอกจากนั้น ยังได้พยายามลดความซับซ้อนในการจัดเก็บภาษีโดยมีการเก็บภาษีอัตราเดียว (Flat tax systems) แทนมากขึ้นอีกด้วย |
. |
5. การเพิ่มขึ้นของความท้าทายต่อนโยบายด้านโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ เนื่องจากบริษัทข้ามชาติเข้ามาลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มขึ้นอย่างมาก และอุตสาหกรรมที่ได้รับความสนใจมากที่สุด คือ ไฟฟ้าและคมนาคม ก่อให้เกิดความท้าทายต่อการกำหนดนโยบายของรัฐเพื่อรองรับเงินทุนเหล่านั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ |
. |
สำหรับข้อเสนอแนะนโยบายสำหรับประเทศไทย เพื่อรองรับแนวโน้ม FDI ประกอบด้วย |
. |
แนวโน้มสำคัญ 5 ประการของ FDI (Foreign Direct Investment : FDI) ที่คาดว่าจะมีบทบาทสำคัญต่อการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ และทิศทางการกำหนดนโยบายของประเทศผู้รับทุนอย่างมีนัยสำคัญ กำลังส่งผลต่อเศรษฐกิจในด้านการลงทุนและส่งผลต่อเนื่องในอนาคต ได้แก่ |
. |
1. การชะลอตัวของการลงทุนโดยตรงและการเพิ่มขึ้นของ Divestment |
แผนภาพที่ 1 มูลค่า FDI Inflow ของโลกและแนวโน้ม |
Source : UNCTAD : ปี 2010 และ 2011 ประมาณการณ์โดยส่วนนโยบายการเคลื่อนย้ายเงินทุน |
. |
จากวิกฤตเศรษฐกิจโลกระหว่างปี 2008-2009 ส่งผลทำให้ FDI ของดลกชะลอตัวลง โดยปี 2008 FDI inflow ลดลงกว่าร้อยละ 14 และปี 2009 ลดลงกว่าร้อยละ 39 ผลกระทบดังกล่าวจะเห็นได้ชัดในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤตเศรษฐกิจ ทำให้การซื้อขายควบรวมกิจการ (Cross-border M&A) มีมูลค่าลดลง |
. |
ยกตัวอย่างเช่น ในปี 2008 Cross-border M&A มูลค่าลดลงถึงร้อยละ 35 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2007 ส่วนการลงทุนขนาดใหญ่ของ Cross-border M&As ที่มีการลงทุนมูลค่ามากกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2008 มีจำนวนความตกลงลดลงร้อยละ 21 ด้วยมูลค่าที่ลดลงถึงร้อยละ 31 เช่นเดียวกับกองทุนรวมขนาดใหญ่ (Private equity funds) |
. |
ในปี 2008 มีการลงทุนลดลงร้อยละ 38 มาอยี่ 291 พันล้านเหรียญสหรัฐ จากเดิมในปี 2007 มีมูลค่าการลงทุนถึง 470 พันล้านเหรียญสหรัฐ และจากข้อมูลล่าสุดของ UNCTAD พบว่า ในปี 2009 การลงทุนในรูปของ Cross-border M&As ลดลงจากปี 2008 ถึงร้อยละ 66 หรือลดลงจาก 707 พันล้านเหรียญสหรัฐ เป็น 240 พันล้านเหรียญสหรัฐ |
. |
ซึ่งการลดลงของ Cross-boder M&As นี้ ส่งผลต่อการลดลงของ FDI flow อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งนี้เนื่องจาก Cross-border M&As และ FDI inflow นั้นมีความสัมพันธ์กันในระดับสูง อย่างไรก็ตาม คาดว่า FDI inflow จะฟื้นตัวดีขึ้นในปี 2010 และ ปี 2011 ที่ร้อยละ 10 และ 15 ตามลำดับ และจะปรับตัวเพิ่มขึ้นถึงระดับเดียวกับปี 2007 ภายใน 4-5 ปีข้างหน้านี้ (แผนภาพที่ 1) |
. |
นอกจากนั้น การลดลงของ Cross-border M&As ยังส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของ Divestment (การไหลย้อนกลับของการลงทุนในรูปของการส่งกำไรกลับคืน กำไรที่นำกลับมาลงทุนใหม่ การส่งกลับเงินกู้เพื่อชำระหนี้ของบริษัทลูกแก่บริษัทแม่ และการปรับโครงสร้าง เป็นต้น) โดยนับตั้งแต่กลางปี 2008 พบว่ามีมูลค่า Divestment รวมกันแล้วสูงกว่ามูลค่า FDI ที่ไหลเข้าสู่ประเทศผุ้รับทุน |
. |
ซึ่งปรากฎการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นจาก FDI Flow ติดลบในดุลการชำระเงินของประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศ เช่น ไอร์แลนด์ และสหราชอาณาจักร โดยปกติแล้ว Divestment เป็นปรากฎการณ์ที่ไม่ค่อยปกตินัก เนื่องจากเป็นภาวะที่บริษัทข้ามชาติมีความต้องการสูงในการพยายามตัดต้นทุนการบริหารจัดการ เนื่องจากในตลาดโลกที่มีการแข่งขันเพิ่มสูงขึ้น |
. |
ขณะที่ธุรกรรมที่ไม่ใช่หัวใจหลักของธุรกิจ และในบางกรณีเป็นการปรับโครงสร้าง อาจกล่าวได้ว่า Divestment เป็นผลมาจาก Interplay ระหว่างปัจจัยภายในและภายนอกที่มีต่อบริษัทข้ามชาติในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยบริษัทแม่มีแนวโน้มที่จะดึงเงินจากเงินทุนต่าง ๆ ของบริษัทในเครือบ หรือบริษัทแม่กู้เงินจากบริษัทในเครือ หรือบริษัทในเครือชำระหนี้คืนแก่บริษัทแม่ |
. |
ยกตัวอย่างเช่น ในไตรมาสแรกของปี 2009 ประเทศญี่ปุ่นมีสัดส่วน Divestment ใน FDI Outflows ทั้งหมดเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 64 หรือเพิ่มขึ้นจากปี 2008 ร้อยละ 39 ซึ่งมีทิศทางเดียวกันกับประเทศบราซิลที่มีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 116 หรือเพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 40 และประเทศฝรั่งเศสมีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 19 หรือเพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 16 ดังนั้น แนวโน้มในระยะสั้นระหว่างช่วงวิกฤตและช่วงฟื้นตัว Divestment จะยังคงบทบาทสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงทิศทางของ FDI |
. |
2. การเพิ่มขึ้นของมาตรการกีดกันการลงทุนในบางธุรกิจ |
จากภาวะการแข่งขันการให้สิทธิประโยชน์ของประเทศต่าง ๆ ที่ทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น ทำให้เชื่อว่า แต่ละประเทศจะมุ่งแต่ให้สิทธิประโยชน์แก่บริษัทข้ามชาติเพียงอย่างเดียวนั้น ในอีกด้านหนึ่งจากการสำรวจของ UNCTAD พบว่า นโยบายป้องกัน FDI กลับมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนโยบายในด้านกฎหมายและกฎระเบียบต่าง ๆ อาจส่งผลต่อการเข้ามาลงทุนและการดำเนินธุรกิจของบริษัทข้ามชาติได้ จะเห็นได้จากตารางที่ 1 |
. |
ตารางที่ 1 National regulatory changes, 1992-2007 |
Source : UNCTAD |
. |
ในปี 2007 จำนวนกฎระเบียบของประเทศต่าง ๆ ที่มีผลต่อ FDI มีการเปลี่ยนแปลงเพียง 98 นโยบายโดยมี 24 นโยบายเป็นนโยบายที่เป็นอุปสรรคต่อ FDI ซึ่งเหมือนกับหลายปีที่ผ่านมา นั่นคือ ส่วนใหญ่เป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายในอุตสาหกรรมสกัด (extractive security) ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นนับตั้งแต่ปี 1992 เป็นต้นมา ขณะที่อีก 74 นโยบายยังคงให้การส่งเสริม FDI |
. |
การเปลี่ยนแปลงนโยบาย FDI ที่สำคัญในปัจจุบันเริ่มจากการปกป้องอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อความมั่นคงของประเทศ หรือจำกัดการลงทุนจากต่างชาติ ซึ่งเริ่มเห็นได้ชัดในปี 2006 อุตสาหกรรมสกัดถูกจำกัดการลงทุน และมีแนวโน้มยกเลิกการลงทุนโดยเสรีในหลายประเทศมากขึ้น สาเหตุสำคัญมากจาการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าอุปโภคบิรโภคในประเทศ และการส่งออกทรัพยากรธรรมชาติมากเกินไป |
. |
จึงทำให้ต้องมีการจำกัดการเป็นเจ้าของและการลงทุนจากต่างชาติเพิ่มขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ในประเทศโบลิเวีย รัฐวิสาหกิจน้ำมัน YPFB ได้เรียกคืนโรงกลั่นน้ำมันใหญ่ 2 แห่งจากบริษัท Petrobras ของประเทศบราซิล ยิ่งกว่านั้น รัฐบาลโบลิเวียได้ประการจะเพิ่มการจัดเก็บภาษีจากบริษัทขุดเจาะเหมืองแร่อีกด้วย |
. |
ในปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงนโยบายที่เป็นอุปสรรคต่อ FDI มีหลายรูปแบบ เหตุผลสำคัญประการหนึ่งที่รัฐเริ่มตระหนักและเริ่มใช้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ก็คือ ความเป็นเจ้าของธุรกิจต่างชาติ ซึ่งเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะการลงทุนของกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (Sovereign Wealth Funds : SWFs) และรัฐวิสาหกิจต่างชาติ ตัวอย่างเช่น ประเทศสหรัฐอเมริกาและรัสเซียเปลี่ยนนดยบายให้มีความเข้มงวดมากขึ้นในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติ |
. |
3. การเพิ่มขึ้นของความตกลงระหว่างประเทศ |
การพัฒนานโยบายส่งเสริม FDI ในระดับระหว่างประเทศสามารถดำเนินการผ่านการทำความตกลงต่าง ๆ ทั้งในรูปทวิภาคและพหุภาคี ในปี 2007 ความตกลงด้านการลงทุนระหว่างประเทศขยายตัวต่อเนื่อง เช่น ความตกลงเกี่ยวกับการลงทุนในระดับทวิภาคี (Bilateral investment treaties : BITs) และอนุสัญญาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อน (Double taxation treaties : DTTs) รวมทั้งความตกลงระหว่างประเทศอื่น ๆ |
. |
ปี 2007 BITs เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าจำนวน 44 ความตกลง ส่งผลให้ความตกลงต่าง ๆ ที่ได้ลงนามไปทั้งสิ้นเป็น 2,608 ความตกลง และจำนวนประเทศที่เข้าร่วมการทำความตกลงต่าง ๆ รวมแล้วมีทั้งหมด 179 ประเทศ โดยประเทศในเอเชียทำความตกลงมากที่สุด คือ 29 ความตกลง ซึ่งเป็นการยืนยันได้ว่ามีการรวมตัวกันทางเศรษฐกิจมากขึ้น การ |
. |
คุ้มครองการลงทุนและการลงทุนโดยเสรีมากขึ้นเช่นกัน นอกจากนั้น การเพิ่มขึ้นของความตกลงดังกล่าวมี 10 ความตกลงเป็นการทบทวนและแก้ไขความตกลงเดิม เพื่อให้สอดคล้องกับเรื่องที่เกี่ยวข้องที่เกิดขึ้นใหม่ เช่น ด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม สิทธิในการออกกฎหมายของประเทศผู้รับทุน และสิทธิของนักลงทุนต่างชาติ เป็นต้น |
. |
ส่วน DTTs มีความตกลงใหม่เพิ่มขึ้น 69 ความตกลง ทำให้มีความตกลงรวมทั้งสิ้น 2,730 ความตกลง โดยมี 52 ความตกลงมีประเทศพัฒนาแล้วเป็นคู่สัญญา และอีก 17 ความตกลงเป็นอนุสัญญาที่ทำขึ้นระหว่างประเทศพัฒนาแล้วด้วยกันเอง จะเห็นได้ว่าประเทศพัฒนาแล้วตระหนักถึงความสำคัญของการเก็บภาษีซ้อน อันจะเป็นอุปสรรคในการลงทุนระหว่างประเทศ จึงพยายามเร่งทำความตกลงเพื่อลดอุปสรรคดังกล่าวลง |
. |
เนื่องจากการขาดกฎระเบียบเกี่ยวกับการลงทุนระหว่างประเทศที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม ประเทศต่าง ๆ จึงได้บรรจุข้อตกลงด้านการลงทุนในสนธิสัญญาและความตกลงที่ทำร่วมกันทั้งในระดับทวิภาคี และพหุพาคี เพื่อเป็นหลักเกณฑ์และรักษาผลประโยชน์ของแต่ละฝ่าย ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการลงทุนมากขึ้น |
. |
นอกจากนั้น ยังเป็นประโยชน์ในการจัดทำความตกลงด้านการลงทุนในอนาคตให้มีความแน่นอน ถูกต้อง และครอบคลุมทั่วถึง เป็นหลักสากลที่ยอมรับทั่วโลกอีกด้วย อย่างไรก็ตามปัจจุบันยังไม่มีความตกลงด้านการลงทุนที่ยึดเป็นหลักสากลทั่วโลก จึงทำให้ประเทศต่าง ๆ ยังคงแข่งขันการให้สิทธิประโยชน์รวมทั้ง การให้เงินอุดหนุนและช่วยเหลือด้านต่าง ๆ แก่บริษัทข้ามชาติอยู่เสมอ ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมาในที่สุด |
. |
4. การลดลงของความซับซ้อนของระบบภาษีและอัตราภาษี |
ในปัจจุบันประเทศต่าง ๆ มีแนวโน้มในการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลทั้งในประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนาเพื่อเป็นการดึงดูดนักลงทุน นอกจากนั้น ได้พยายามลดความซับซ้อนในการจัดเก็บภาษีอีกด้วย จะเห็นได้จากจำนวนประเทศที่มีการเก็บภาษีอัตราเดียว (Flat tax systems) เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง |
. |
ยกตัวอย่างเช่น ประเทศไอซ์แลนด์มีการเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลลดลงตั้งแต่ปี 1980 จากร้อยละ 50 เป็นร้อยละ 18 ในปัจจุบัน และในปี 2007 มีการเก็บภาษีอัตราเดียวร้อยละ 10 สำหรับรายได้จากดอกเบี้ย เงินปันผล และค่าเช่า จากตารางที่ 2 จะเห็นได้ว่าประเทศที่มีการเก็บภาษีอัตราเดียว จะมีอัตราภาษีค่อนข้างต่ำด้วย ซึ่งนอกจากเป็นการลดความซับซ้อนของอัตราภาษีแล้ว ยังเป็นการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่นักลงทุนต่างชาติเพิ่มขึ้นอีกด้วย |
. |
ตารางที่ 2 Countries with a flat tax, 2007 (% tax rate) |
Source : UNCTAD |
. |
5. การเพิ่มขึ้นของความท้าทายต่อนโยบายด้านโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ |
การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของบริษัทข้ามชาติขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากโดยเฉพาะ ในระหว่างปี 1990-2006 มูลค่า FDI ที่ลงทุนในอุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลกเพิ่มขึ้นกว่า 31 เท่า อยู่ที่ระดับ 786 พันล้านเหรียญสหรัฐ เป็นการลงทุนในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา 199 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 29 เท่า |
. |
อุตสาหกรรมส่วนใหญ่ที่ได้รับความสนใจในการลงทุนมากที่สุดทั่วโลก คือไฟฟ้าและโทรคมนาคม เมื่อคิดเป็นสัดส่วนการลงทุนโดยตรงในโครงสร้างพื้นฐานกับการลงทุนโดยตรงทั้งหมดทั่วโลกพบว่า การลงทุนโดยตรงในโครงสร้างพื้นฐานสูงขึ้นเกือบร้อยละ 10 ของการลงทุน โดยตรงทั้งหมด เมื่อเปรียบเทียบกับในปี 1990 สัดส่วนอยู่ที่ระดับเพียงร้อยละ 2 |
. |
จากข้อมูลดังกล่าว การเติบโตของการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ โดยอาศัยการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกองทุนรวมขนาดใหญ่ SWFs และบริษัทข้ามชาติ |
. |
ประเทศผู้รับทุนจำเป็นต้องคำนึงถึงการวางนโยบายเพื่อให้บริษัทข้ามชาติเข้ามาลงทุนในด้านโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ และต้องหาแนวทางในการทำให้โครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานนั้นนำไปสู่การพัฒนาที่แท้จริงเป็นไปอย่างที่ต้องการ โดยมีการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพซึ่งนับเป็นความท้าทายใหม่สำหรับประเทศผู้รับทุนที่จะต้องเตรียมมือรองรับการลงทุนในลักษณะดังกล่าว |
. |
ข้อเสนอแนะสำหรับประเทศไทย |
1. การใช้นโยบายส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศในเชิงรุก |
1.1 พิจารณาส่งเสริมให้มีการจัดตั้ง Super Investment Agency หรือศูนย์กลางการลงุทนในการติดต่อประสานงาน กับนักลงทุนต่างชาติโดยตรง เพื่อเป็นหน่วยงานประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลด้านการลงทุน และกฎระเบียบ รวมทั้งการอำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนในด้านต่าง ๆ อย่างครบวงจน |
. |
ทั้งนี้อาจทำการขยายอำนาจและบทบาทของสำนักงานส่งเสริมการลงทุนและการจัดตั้ง One Start Service โดยให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องต่างๆ จัดตั้ง เช่น One Start Service ของกระทรวงการคลัง เป็นต้น นอกจากนี้ ควรพิจารณาขยายผลนโยบายของรัฐบาล เพื่อลดความยุ่งยากซับซ้อนในการลงทุน และเพื่อตอบสนองความต้องการของบริษัทต่างชาติ |
. |
1.2 เร่งสนับสนุนการจัดตั้งสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค (Regional Operating Headquarters : ROH) ให้มากขึ้น โดยให้สิทธิประโยชน์ด้านต่าง ๆ แกบริษัทข้ามชาติที่เข้ามาตั้ง ROH ในประเทศ เช่น ลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่สำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค ซึ่งในขณะนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังเร่งดำเนินการ |
. |
1.3 ควรมีมาตรการช่วยเหลือบริษัทข้ามชาติที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ โดยเฉพาะบริษัทในเครือที่เข้ามาตั้งสาขาในประเทศ เนื่องจากในภาวะวิกฤต บริษัทแม่ในต่างประเทศมีแนวโน้มที่จะลดเงินลงทุนในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การเรียกคืนเงินกู้จากบริษัทลูก และการลดการลงทุน เป็นต้น |
. |
ซึ่งส่งผลให้ภาพรวม FDI ของไทยลดลง ดังนั้นจำเป็นจะต้องมีมาตรการให้ความช่วยเหลือแก่บริษัทข้ามชาติในประเทศ เช่น การปรับโครงสร้างให้บริษัทอยู่รอด การให้กู้ยืมเพื่อเพิ่มสภาพคล่อง ความยืดหยุ่นในการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และการให้สิทธิประโยชน์ในด้านต่างๆ เป็นต้น |
. |
2. การจัดทำนโยบายที่ชัดเจนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติ และทรัพยากรธรมชาติ |
แม้ว่าประเทศไทยจะสนับสนุนและส่งเสริมการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเป็นอย่างมาก แต่ในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติ และทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน เหมืองแร่ ป่าไม้ และการร่วมลงทุนในสาธารณูปโภคพื้นฐานของประเทศ ควรมีมาตรการดูแลให้ชัดเจนมากขึ้น โดยทบทวนกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง |
. |
ทั้งนี้ควรระบุให้ชัดเจนว่าธุรกิจใดนักลงทุนต่างชาติสามารถดำเนินธุรกิจได้และไม่ได้ รวมทั้งสัดส่วนการถือหุ้นในแต่ละประเภทอย่างชัดเจน เพื่อสร้างความโปร่งใสและป้องกันผลกระทบที่มีต่อความมั่นคงของชาติ รวมทั้ง การจัดสรรทรัพยากรในประเทศ |
. |
ซึ่งปัจจุบันแนวโน้มนโยบาย FDI ของหลาย ๆ ประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศเกิดใหม่ที่มีทรัพยากรยังอุดมสมบูรณ์ได้เริ่มตระหนักถึงความจำเป็นที่จะต้องดูแลและจำกัดความเป็นเจ้าของของนักลงทุนต่างชาติมากขึ้น ดังนั้น ประเทศไทยควรพิจารณามาตรการที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับการลงทุนประภทดังกล่าวอย่างทันท่วงที |
. |
ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง |