เนื้อหาวันที่ : 2010-02-26 10:17:10 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 656 views

รายงานภาวะเศรษฐกิจประจำวันที่ 26 ก.พ. 2553

1.ตลาดรถยนต์ปีขาล เริ่มด้วยยอดขายเกือบครึ่งแสน

-  ตลาดรถยนต์รวมทุกประเภทในเดือนมกราคม 2553 มียอดจำหน่ายรวมทุกยี่ห้อ 49,560 คัน เพิ่มขึ้น 54.46% เมื่อเทียบกับเดือนมกราคมของปี 2552 ที่ผ่านมา โตโยต้าจำหน่ายได้สูงสุด คือ 20,289 คัน มีส่วนแบ่งตลาด 40.94% อีซูซุมาเป็นอันดับ 2 ด้วยยอดจำหน่าย 10,168 คัน คิดเป็น 20.52% และฮอนด้ามาเป็นอันดับ 3 ด้วยยอดจำหน่าย 7,701 คัน คิดเป็น 15.54%

.

-  สศค. วิเคราะห์ว่า ยอดขายรถยนต์ที่ขยายตัวได้ดี สามารถนำมาพิจารณาได้ 2 ด้าน คือ การบริโภคภาคเอกชน พิจารณาจากปริมาณจำหน่ายรถยนต์นั่งในเดือนม.ค. 53 พบว่า ขยายตัวร้อยละ 53.2 ต่อปี ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อเศรษฐกิจไทยในอนาคต

.

สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนม.ค. 53 ที่ระดับ 71.9 ซึ่งเป็นระดับที่สูงสุดในรอบ 21 เดือน ขณะที่ปริมาณจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ขยายตัวร้อยละ 55.4 ต่อปี ชี้ให้เห็นถึงการลงทุนภาคเอกชนที่ปรับตัวดีขึ้นเช่นเดียวกับการนำเข้าสินค้าทุนที่หักเครื่องบิน เรือและรถไฟที่ขยายตัวร้อยละ 21.5 ต่อปี  

.
2.  หอการค้าไทยคาดเศรษฐกิจปี 53 โตไม่ต่ำกว่า 3-4% เชื่อการเมืองยังไม่กระทบหากไม่เกิดเหตุรุนแรง

-  ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์ เศรษฐกิจ และธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และสภาหอการค้าไทย กล่าวถึงสถานการณ์ภาวะเศรษฐกิจไตรมาส 4 ปี 2552 ว่า การขยายตัวถึง 5.8% ของ GDP เกิดจากภาวะเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัวต่อเนื่อง ทำให้การส่งออกของประเทศเริ่มกลับมาฟืนตัว 

.

ขณะเดียวกันราคาสินค้าเกษตรมีการปรับตัวสูงขึ้น ทำให้เกษตรกรมีรายได้จากการค้าขายสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้น ส่วนภาคการท่องเที่ยวก็เริ่มฟื้นตัว ทั้งนี้ จากการคาดการณ์ความเป็นไปได้ของแนวโน้มเศรษฐกิจปี 2553 มีโอกาสขยายตัวได้ 3-4% หากสถานการณ์ทางการเมืองยังคงมีเสถียรภาพ รวมทั้งปัญหามาบตาพุดสามารถแก้ไขปัญหาได้ในช่วงครึ่งปีหลัง

.

-  สศค.วิเคราะห์ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2553 จะมีการขยายตัวที่ร้อยละ 3.5 ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 3.0-4.0) โดยมีแรงส่งจากทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวชัดเจนในช่วงท้ายปี 52 และแรงส่งเชิงนโยบายต่อเนื่องไปยังปี 53 จากการใช้จ่ายของภาครัฐผ่านแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้การใช้จ่ายภาคเอกชนในปี 53 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากฐานที่ต่ำในปี 52 โดยการประมาณการดังกล่าวได้รวมผลกระทบของปัญหาการระงับการลงทุนในเขตมาบตาพุดไว้แล้ว

.

โดยหากรัฐบาลสามารถแก้ปัญหาการลงทุนในเขตดังกล่าวอย่างรวดเร็ว และสามารถเร่งรัดเบิกจ่ายโครงการลงทุนตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งให้ได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 ของกรอบวงเงินอนุมัติ รวมทั้งสามารถสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเมืองให้มั่นคง ซึ่งคาดว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะมีโอกาสขยายตัวได้ในกรณีสูงของช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 4 ต่อปี (คาดเมื่อเดือน ธ.ค. 52)

.
3.  S & P อาจปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศกรีซลงอีกครั้ง

-  สถาบันการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ Standard and Poors อาจปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศกรีซลงอีกครั้งภายในช่วงก่อนสื้นเดือน มี.ค. 53 จากภาวะเศรษฐกิจที่ยังอ่อนแอและความเสี่ยงจากการที่พรรคฝ่ายค้านของประเทศกรีซได้ออกมาแสดงความวิตกจากกังวลต่อการปรับลดการขาดดุลของรัฐบาล โดย S&P ได้เคยปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศกรีซไปลงจากระดับ A- ลงมาอยู่ที่ระดับ BBB+ ในช่วงเดือน ธ.ค. 53

.

-  สศค.วิเคราะห์ว่าผลกระทบจากปัญหาดังกล่าวต่อประเทศไทยน่าจะอยู่ในวงจํากัดเนื่องจากสถาบันการเงินไทยส่วนใหญ่ไม่มี Direct Exposure กับประเทศในกลุ่มประเทศโปรตุเกส ไอรแลนด์ กรีซและสเปน (PIGS) มากนัก อีกทั้งสถาบันการเงินไทยมีฐานะ  เข้มแข็งสามารถรองรับความผันผวนของการเคลื่อนย้ายเงินทุนที่อาจเกิดขึ้นจากประเทศในกลุ่ม PIGS ได้

.

นอกจากนี้ ผลกระทบผ่านภาคเศรษฐกิจจริง(Real Sector Impacts) อยู่ในวงจํากัดเช่นกัน เนื่องจากมูลค่าการค่าและการลงทุน  ระหว่างไทยและประเทศในกลุ่ม PIGS คิดเป็นสัดส่วนที่น้อยเมื่อเทียบกับมูลค่าการค้าและการลงทุนของไทยทั้งหมด

.

อย่างไรก็ตามในระยะสั้น รัฐควรติดตาม  ปัญหาหนี้สาธารณะของประเทศในกลุ่ม PIGS อย่างใกล้ชิด เพื่อเฝ้าระมัดระวังผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยหากปัญหาดังกล่าวลุกลามไปสู่ปัญหาของสหภาพยุโรปโดยรวม และในระยะปานกลาง รัฐควรเร่งกระจายตลาดส่งออกไปยังประเทศต่าง ๆ มากขึ้น เพื่อลดการพึ่งพาการส่งออกไปยังประเทศใดประเทศหนึ่งและเร่งกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ เพื่อลดการพึ่งพาการ ส่งออกด้วย

.
ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง