คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่องค่าเงินบาท ระบุภาคการส่งออกสูญแสนล้านบาทหลังเงินบาทแข็งค่ากว่าร้อยละ 14 ประเมินค่าเงินบาทมีโอกาสแข็งค่าต่อไป คาดเศรษฐกิจโตแค่ระดับร้อยละ 4.5-5.5
สำนักข่าวไทยรายงานข่าวคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่องค่าเงินบาท ระบุภาคการส่งออกสูญแสนล้านบาทหลังเงินบาทแข็งค่ากว่าร้อยละ 14 ประเมินค่าเงินบาทมีโอกาสแข็งค่าต่อไป ส่วนการปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย ผู้บริหารสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) คาดจะทำให้การบริโภคและการลงทุนดีขึ้น แต่ส่งออกชะลอตัวลง โดยเศรษฐกิจจะเติบโตระดับร้อยละ 4.5-5.5 |
. |
คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ส.อ.ท. และสมาคมธนาคารไทย จัดประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่อง ค่าเงินบาท นายธนิต โสรัตน์ รองเลขาธิการ ส.อ.ท. กล่าวว่า การแข็งค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐตั้งแต่ปลายปี 2548 จนถึงปัจจุบันแข็งค่าประมาณร้อยละ 14.5 มากที่สุดในรอบ 8 ปี นับว่าแข็งค่ามากกว่าเงินสกุลอื่น ๆ ในภูมิภาคทั้งเงินหยวนที่แข็งค่าร้อยละ 3.4 เกาหลีร้อยละ 7.5 สาเหตุหลักมาจากการเก็งกำไรค่าเงินบาท โดยเฉพาะกองทุนบริติชเวอร์จิน และกองทุนลงทุนของสิงคโปร์เกือบร้อยละ 70 ซึ่งการแข็งค่าของเงินบาทส่งผลกระทบทำให้ผู้ส่งออกที่ใช้วัตถุดิบในประเทศมากได้รับผลกระทบ สำหรับทิศทางของเงินบาทนั้นคงแข็งค่าต่อไป โดยจะอยู่ในระดับประมาณ 36.5-37 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยนักลงทุนต่างประเทศกำลังเฝ้ามองมาตรการใหม่ ๆ ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) |
. |
ทั้งนี้ จากการสำรวจของ ส.อ.ท. พบว่าผู้ประกอบการกว่าร้อยละ 52.7 จะเริ่มได้รับผลกระทบที่อัตราแลกเปลี่ยน 37-38 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แต่หากค่าเงินบาทอยู่ที่ระดับ 33-34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ผู้ส่งออกกว่าร้อยละ 86.7 จะได้รับผลกระทบ โดยธุรกิจส่งออกร้อยละ 35.5 ใช้วัตถุดิบในประเทศทั้งหมด และร้อยละ 58 เป็นผู้ส่งออก ใช้วัตถุดิบในประเทศร้อยละ 71 ธุรกิจเหล่านี้รวมกันคิดเป็นกว่าร้อยละ 90 ที่ได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาท ซึ่งภาครัฐต้องให้ความใส่ใจ เพราะภาคส่งออกมีบทบาททางเศรษฐกิจถึงร้อยละ 67 ของจีดีพี และมีการใช้แรงงาน 5.5-6 ล้านคน ขณะที่ผู้ส่งออกไทยจะต้องปรับตัวรับความผันผวนของค่าเงินบาทและจากการสำรวจผู้ประกอบการส่งออกอยากให้เงินบาทอยู่ในระดับ 38-39 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แต่ ส.อ.ท.คาดว่าเงินบาทน่าจะอยู่ในระดับ 37-38 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งค่าเงินบาทระดับนี้จะเป็นระดับที่ภาคอุตสาหกรรมปรับตัวได้ |
. |
นายธนิต กล่าวอีกว่า ตามที่ ธปท.ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเหลือร้อยละ 4.75 และปรับอัตราอ้างอิงตลาดซื้อคืนพันธบัตร (อาร์พี) จาก 14 วัน เป็น 1 วัน เชื่อว่าเป็นมาตรการหนึ่งที่เร่งการบริโภคในประเทศให้มากขึ้น และเป็นมาตรการเสริมที่จะดูแลค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่าเกินไป ซึ่งการลดดอกเบี้ยของ ธปท.ครั้งนี้จะมีผลทำให้อัตราดอกเบี้ยเอ็มแอลอาร์ของธนาคารพาณิชย์ปรับลดลงและกระตุ้นให้ผู้ฝากเงินนำเงินไปลงทุนมากขึ้น ทำให้ปีนี้การบริโภคภายในประเทศจะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ ขณะที่การส่งออกจะขยายตัวลดลงอยู่ในระดับประมาณร้อยละ 9-10 จากที่กระทรวงพาณิชย์เคยคาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 12 และเชื่อว่าจะส่งผลให้จีดีพีเติบโตเพิ่มขึ้นจากเดิมที่คาดไว้ร้อยละ 4.5-5 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 4.5-5.5 |
. |
รองเลขาธิการ ส.อ.ท. กล่าวถึงการที่ประเทศไทยใช้มาตรการทางการทูตตอบโต้ประเทศสิงคโปร์ ว่า คงส่งผลกระทบต่อนักลงทุนสิงคโปร์ที่จะชะลอดูทิศทางจากทางการของไทย และนอกจากนักลงทุนสิงคโปร์จะชะลอการลงทุนแล้ว ทางหอการค้าญี่ปุ่นที่หารือกับ ส.อ.ท.มีความกังวลเกี่ยวกับการลงทุนในประเทศไทยพอสมควร ดังนั้น ภาพที่จะเห็นหลังจากนี้ไปของนักลงทุนสิงคโปร์จะรอดูทิศทางก่อนตัดสินใจเข้ามาลงทุน เพราะนักลงทุนต่างชาติมองมาตรการของรัฐบาลที่มีหลากหลายแม้เป็นมาตรการดีแต่ผิดเวลา และยังกังวลว่ารัฐบาลจะเป็นรัฐบาลชั่วคราวหรือไม่ จะมีมาตรการปิดประเทศและจะเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ และจะรับข้อตกลงขององค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) หรือไม่อย่างไร จึงทำให้เกิดการถอยออกไป อย่างไรก็ตาม ส.อ.ท.ยังเชื่อมั่นว่าในที่สุดรัฐบาลจะแก้ปัญหาเรื่องความมั่นคงได้และที่สุดเงินจะไหลกลับเข้ามาประเทศไทย เพราะนักลงทุนต่างชาติก็อยากจะกระจายความเสี่ยงโดยกลับเข้ามาลงทุนในไทย |
. |
นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาทต่อการส่งออกโดยรวมในปี 2549 ว่า ทำให้มูลค่าการส่งออกลดลง 105,976 ล้านบาท หรือส่งผลให้มูลค่าการส่งออกรวมลดลงร้อยละ 2.39 ซึ่งคิดจากค่าเงินบาท 40.22 บาท ในปี 2548 มาอยู่ที่ 37.88 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ส่วนปี 2550 จะต่ำกว่า 100,000 ล้านบาท จากการสำรวจใน 9 อุตสาหกรรม พบว่าอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากคือผู้ที่ใช้วัตถุดิบในประเทศผลิตสินค้าเพื่อการส่งออก |
. |
ทั้งนี้ จากผลสำรวจพบว่าผู้ประกอบการร้อยละ 70 ระบุว่าหาก 3 ปีข้างหน้าสถานการณ์เงินบาทยังแข็งค่าต่อ ผู้ประกอบการจะลดการผลิตลง แต่จะไม่ย้ายฐานการผลิตไปยังเวียดนามหรือประเทศที่มีต้นทุนที่ถูกกว่า เพราะต้องใช้เงินลงทุนสูง ซึ่งผู้ประกอบการไม่มีศักยภาพพอและจะทำให้เสียลูกค้าให้คู่แข่งขันในที่สุด โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอาหารที่ลูกค้าจะไปซื้อสินค้าที่จีนและเวียดนาม ขณะที่อุตสาหกรรมยางพาราจะไปซื้อจากมาเลเซียและอินโดนีเซีย ซึ่งผู้ประกอบการต้องการให้ภาครัฐรักษาเสถียรภาพเงินบาทไม่ให้แกว่งตัว ดังนั้น ผู้ประกอบการจะต้องปรับตัวโดยการลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มมูลค่าของสินค้า ซึ่งค่าเงินบาทในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 36-36.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ผู้ส่งออกรับได้ในระดับ 36-37 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และเห็นว่าอัตราแลกเปลี่ยนที่ดีต่อธุรกิจอยู่ที่ 37-38 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ |
. |
นายอัทธ์ กล่าวถึงการที่ ธปท.ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงว่า จะส่งสัญญาณที่ดีต่อเศรษฐกิจช่วยกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนให้ดีขึ้น จากเดิมที่คาดว่าการลงทุนและการบริโภคในไตรมาสแรกจะลดลง อย่างไรก็ตาม ศูนย์ศึกษาการค้าฯ ยังยืนยันว่าจะไม่ปรับประมาณการเศรษฐกิจของไทยปีนี้ที่ร้อยละ 4-5 |
. |
นายสอาด ธีรโรจนวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ สายบริหารการเงิน ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ค่าเงินบาทของไทยในช่วง 1-2 เดือนหลังจากนี้จะยังคงผันผวนสูง เนื่องจากเงินทุนจากต่างประเทศที่ยังรอดูมาตรการสำรองร้อยละ 30 จะมีการปรับเปลี่ยนหรือไม่ และเชื่อว่าเงินทุนจะรอเวลาที่จะออกไป และในปีนี้เงินที่จะเข้ามาลงทุนและออกไปจากประเทศไทยจะมีสัดส่วนเท่ากัน สำหรับปัจจัยที่อ่อนไหวและกระทบต่อการดำเนินมาตรการของ ธปท.ที่สำคัญคือตลาดหุ้นที่ได้รับผลกระทบ และหากเงินบาทแข็งค่า เงินที่อยู่ในประเทศของต่างชาติจะทยอยไหลออกไป ซึ่งอาจเป็นผลจากการปรับเปลี่ยนมาตรการของรัฐ สำหรับอัตราแลกเปลี่ยนของไทยอาจจะอยู่ในระดับ 36-37 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หากเงินไหลออกอัตราแลกเปลี่ยนจะอยู่ที่ 37-38 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และเฉลี่ยทั้งปี 2550 คิดว่าค่าเงินบาทน่าจะอยู่ระดับ 37-38 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แต่จะแกว่งตัวระหว่างปี ขณะที่ดอกเบี้ยระยะสั้นจะลดลงได้อีก ซึ่งในช่วง 6 เดือนหลังจากนี้ไปยังไม่แน่ใจว่าเงินทุนของต่างชาติที่มีอยู่จะไหลออกไปมากน้อยเพียงใด และสภาพคล่องภายในประเทศจะรองรับได้เพียงใด. |