เนื้อหาวันที่ : 2010-02-03 10:27:32 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 592 views

ภาวะเศรษฐกิจประจำวันที่ 3 ก.พ. 2553

1. รมว. คลังเร่งทุกกระทรวงเบิกจ่ายงบไทยเข้มแข็ง

-  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เผยว่า ได้รายงานแผนและความคืบหน้าการเบิกจ่ายงบประมาณโครงการลงทุนไทยเข้มแข็ง เพื่อให้ทุกกระทรวงช่วยกันติดตามการเบิกจ่ายให้เป็นไปตามเป้าหมายจากเงินลงทุน 3.5 แสนล้านบาท ในปี 53 ซึ่งคาดว่าจะมีการเบิกจ่ายจำนวน 2.0 แสนล้านบาท

.

เนื่องจากปีนี้เป็นปีแรกของการเร่งทำนโยบายไทยเข้มแข็งไปสู่การปฏิบัติ เพราะงบไทยเข้มแข็งมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 3.0 ของ GDP หากเงินออกสู่ระบบจะช่วยให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้

.

-  สศค. วิเคราะห์ว่า โครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ที่มีวงเงินลงทุนกว่า 1.43 ล้านล้านบาท ในช่วง 3 ปี (53-55) ที่เน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและยกระดับชุมชนให้ครอบคลุมทุกภูมิภาคและทุกจังหวัดทั่วประเทศ โดยในปี 53 มีโครงการที่พร้อมอนุมัติโครงการลงทุนที่มีความพร้อมดำเนินการได้ในปีงบประมาณ 53 จำนวน 1.296 ล้านล้านบาท

.

ทั้งนี้ การดำเนินการแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555  จะสามารถช่วยให้เศรษฐกิจไทยสามารถขยายตัวได้ร้อยละ 3.3 4.7 และ 5.3 ต่อปี ในช่วงปี 53-55 สำหรับสถานะความคืบหน้าล่าสุดของโครงการแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งในช่วงที่ผ่านมามีการเบิกจ่ายได้รวมทั้งสิ้นจำนวน 26.3 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเบิกจ่ายร้อยละ 13.2 ของกรอบวงเงินที่ได้รับการอนุมัติจำนวน 2.0 แสนล้านบาท

.

2. ธปท.ผ่อนปรนลงทุน ตปท. ทำให้เกิดสมดุล

-  กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวถึง การที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ผ่อนคลายเกณฑ์ให้เอกชนลงทุนในต่างประเทศได้เพิ่มขึ้นว่า จะช่วยทำให้การไหลเข้าและออกของเงินทุนมีความสมดุลมากขึ้น และจะช่วยลดแรงกดดันจากอัตราแลกเปลี่ยนที่บาทแข็งค่า

.

-  ด้าน มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เห็นสอดคล้องกันโดยกล่าวว่า การที่มาตรการบางส่วนถูกปรับให้ไม่มีข้อจำกัด จะส่งผลดีใน 2 ประเด็น ได้แก่ การเปิดโอกาสให้ธุรกิจซึ่งมีขนาดไม่ใหญ่มากสามารถนำเงินลงทุนไปยังต่างประเทศได้

.

อาทิ การลงทุนในแถบอาเซียนหรืออินโดจีน และในขณะเดียวกันจะป้องกันไม่ให้เงินตราต่างประเทศไหลเข้ามาโดยไม่มีทางระบายออก ซึ่งในอนาคต ธปท. อาจมีการเปิดเสรีการลงทุนในต่างประเทศให้เต็มที่มากกว่าปัจจุบันได้

.

-  สศค. วิเคราะห์ว่า วิกฤตเศรษฐกิจโลกไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบทำให้เศรษฐกิจไทยหดตัวแต่ยังทำให้เงินทุนเคลื่อนย้ายของโลกเกิดความผันผวนส่งผลทำให้มีการเคลื่อนย้ายเงินลงทุนเข้าสู่ประเทศที่มีศักยภาพในการฟื้นตัวมากกว่า  โดยเฉพาะทวีปเอเชีย รวมถึงไทย โดยครึ่งหลังของปี 2552 วิกฤตเศรษฐกิจเริ่มมีการฟื้นตัวอย่างชัดเจน

.

เป็นผลทำให้ ดุลบัญชีทุนของไทยมีการเกินดุลสูงที่ 7.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากที่ ครึ่งปีแรกมีการขาดดุล ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลทำให้ ค่าเงินบาทในปัจจุบันแข็งค่าประมาณร้อยละ 0.62  นับจากกลางปี  2552 ดังนั้น มาตรการดังกล่าวจะช่วยลดแรงกดดันค่าเงินบาทได้ในระดับหนึ่ง

.
3. โอบามาเสนอ 3.8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐเพื่อกระตุ้นการจ้างงาน

-  ประธานาธิบดีบารัก โอบามา แถลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2554 มูลค่า 3.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณร้อยละ 25.1 ของ GDP โดยกว่า 100 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จะใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการจ้างงาน และได้ประมาณการณ์ว่าในปีงบประมาณ 2554 สหรัฐฯ จะขาดดุลงบประมาณที่ 1.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณร้อยละ 8.3 ของ GDP

.

-  สศค. วิเคราะห์ว่าการที่สหรัฐฯ จำเป็นต้องดำเนินนโยบายการคลังแบบขาดดุลนั้น เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมายังคงเป็นไปอย่างเปราะบางและยังไม่สามารถกระตุ้นให้เกิดการจ้างงานภายในประเทศได้

.

โดยเห็นได้จากอัตราการว่างงานของสหรัฐฯในปี 52 ที่อยู่ในระดับสูงกว่าร้อยละ 10 ของกำลังแรงงานรวม หรือคิดเป็นจำนวนผู้ว่างงานประมาณ 4 ล้าน ประกอบกับข้อจำกัดของมาตรการทางการเงินในปัจจุบันที่ไม่ส่งผลให้เกิดการลงทุนเพิ่มขึ้นมากนัก

.

อย่างไรก็ตาม การดำเนินนโยบายการคลังแบบขาดดุลจะเป็นการเพิ่มภาระหนี้สาธารณะให้กับประเทศในระยะต่อไป โดยทางการสหรัฐฯ ได้คาดการณ์ว่าหากสหรัฐฯ ยังคงดำเนินงบประมาณขาดดุลต่อเนื่องไปอีก 10 ปี ในปี 2564 (ค.ศ. 2020) หนี้สาธารณะอาจจะสูงถึงกว่าร้อยละ 77.2 ของ GDP จากปี 2553 ที่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 53.0 ของ GDP

.
ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง