1. ก.พาณิชย์ฯ เผยอัตราเงินเฟ้อเดือน ม.ค. 53 อยู่ที่ 4.1% เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 |
- กระทรวงพาณิชย์เผย ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อ หรือดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (CPI) เดือน ม.ค. 53 อยู่ที่ 106.29 ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.1 จากช่วงเดียวกันปีก่อน ถือเป็นการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ตั้งแต่เดือน ต.ค. 52 ส่วนดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) ไม่รวมหมวดสินค้าอาหารสดและพลังงานเดือน ม.ค. 53 อยู่ที่ระดับ 103.03 ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 จากช่วงเดียวกันปีก่อน |
. |
เนื่องจากการส่งออกที่ฟื้นตัวและรายได้ภาคเกษตรที่ปรับตัวสูงขึ้นส่งผลให้ราคาสินค้าปรับตัวเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังคาดว่าอัตราเงินเฟ้อ ปี 53 จะอยู่ระหว่างร้อยละ 3.0 - 3.5 โดยไตรมาสแรกคาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 3.7 และจะค่อยๆปรับลดลง ภายใต้สมมติฐาน ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยที่ 70 - 80 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และอัตราแลกเปลี่ยน 31 -33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ |
. |
- สศค. วิเคราะห์ว่า อัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในเดือนนี้มีสาเหตุหลักหลายประการ ได้แก่ ฐานการคำนวณในปีที่ผ่านมาที่อยู่ในระดับต่ำมาก ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่นำเข้ามากลั่นเป็นน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศปรับตัวขึ้นสูงมาก |
. |
ราคาข้าวในตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้น ผลของมาตรการประกันรายได้เกษตรกร การปรับลดมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพ 5 มาตรการ 6 เดือนประเภทน้ำประปาของรัฐบาล และการปรับภาษีสรรพสามิตในกลุ่มสุราและยาสูบเพิ่มขึ้น |
. |
2. ธปท.ผ่อนปรนกฎนิติบุคคลทำธุรกรรมต่างชาติ |
- รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แถลงข่าวผ่อนคลายระเบียบของนิติบุคคลในการทำธุรกรรมในต่างประเทศ โดยมีสาระหลักคือ 1) ขยายวงเงินลงทุนในต่างประเทศแก่นิติบุคคลให้ไม่จำกัดจำนวน และขยายวงเงินลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศแก่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) |
. |
2) การทำอนุพันธ์เพื่อป้องกันความเสี่ยง โดยผ่อนผันให้ผู้นำเข้าส่งออกสามารถยกเลิกธุรกรรมอนุพันธ์ที่ทำขึ้นเพื่อป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนได้ทุกกรณี เพื่อให้ผู้ประกอบการมีความคล่องตัวในการบริหารความเสี่ยง และ 3) ผ่อนคลายคุณสมบัติและหลักเกณฑ์ของผู้ขอจัดตั้งศูนย์บริหารเงินเพื่อบริหารจัดการเงินตราต่างประเทศในเครือ |
. |
- สศค. วิเคราะห์ว่า การที่ธปท. ไม่จำกัดจำนวนวงเงินลงทุนในต่างประเทศของนิติบุคคลไทย จะช่วยลดแรงกดดันต่อค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าอย่างต่อเนื่องได้ เนื่องจากปี 52 ดุลบัญชีเงินสะพัดของไทยเกินดุลถึง 20.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เงินบาทจึงแข็งค่าต่อเนื่อง |
. |
อีกทั้งการผ่อนคลายคุณสมบัติและหลักเกณฑ์ของผู้ขอจัดตั้งศูนย์บริหารเงินเพื่อบริหารจัดการเงินตราต่างประเทศในเครือจะทำให้บริษัทไทยที่มีสาขาอยู่ต่างประเทศสามารถบริหารเงินตราต่างประเทศได้คล่องตัวขึ้น ซึ่งจะสนับสนุนให้ไทยก้าวเข้าสู่การเป็นศูนย์กลางทางการเงิน อย่างไรก็ตาม การผ่อนผันให้ผู้นำเข้าส่งออกสามารถยกเลิกธุรกรรมอนุพันธ์ได้อาจเพิ่มความคล่องตัวให้แก่ผู้ประกอบการได้ |
. |
แต่ก็เป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้แก่สถาบันการเงินจากความเสี่ยงของคู่สัญญาที่เพิ่มขึ้น และทำให้ Value-at-Risk ของสถาบันการเงินเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้สถาบันการเงินเพิ่มค่าธรรมเนียมในการทำอนุพันธ์เพื่อป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน และทำให้ผู้ประกอบการไม่มีแรงจูงใจในการทำอนุพันธ์เพื่อบริหารความเสี่ยงค่าเงินได้ |
. |
3. นีลเส็นเผยดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคชาวไทยแตะจุดสูงสุดในรอบปี |
- นีลเส็น บริษัทวิจัยทางการตลาดและข้อมูลชั้นนำของโลก เปิดเผยผลการสำรวจออนไลน์ของผู้บริโภคทั่วโลกล่าสุด พบว่าความเชื่อมั่นของผู้บริโภคไทยไตรมาส 4 ปี 52 ขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่กลางปี 51 ซึ่งเป็นผลมาจากความเชื่อมั่นในสถานะภาพทางการเงิน และมุมมองในด้านการจ้างงานที่ดีขึ้น |
. |
อย่างไรก็ตาม ความกังวลเกี่ยวกับปัญหาทางเศรษฐกิจก็ยังคงเป็นปัญหาที่ผู้บริโภคชาวไทยกังวลมากเป็นอันดับหนึ่งประกอบกับผู้บริโภคชาวไทยยังคงระมัดระวังเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินมากขึ้น |
. |
- สศค. วิเคราะห์ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในไตรมาส 4 ปี 52 ปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 69.2 จากไตรมาสแล้วที่ระดับ 67.4 สอดคล้องกับการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ที่ปรับตัวดีขึ้นโดยขยายตัวเป็นบวกที่ร้อยละ 7.8 และ 8.7 ต่อปี ในเดือนพ.ย.และธ.ค. 52 จากช่วงวิกฤตเศรษฐกิจที่ติดลบมาตลอดซึ่งบ่งบอกว่าเศรษฐกิจกลับมามีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น |
. |
นอกจากนี้รายได้เกษตรกรที่แท้จริง ขยายตัวในอัตราที่เร่งขึ้นในไตรมาส 4 ที่ร้อยละ 3.7 ต่อปี จากไตรมาสก่อนหน้าที่หดตัวที่ร้อยละ -19.6 ต่อปี ซึ่งสะท้อนว่ากำลังซื้อของคนภูมิภาคปรับตัวสูงขึ้น ทั้งนี้ สศค. คาดว่า ทั้งปี 52 การบริโภคภาคเอกชนที่แท้จริงจะหดตัวที่ร้อยละ -1.3 ต่อปี ลดลงจากปี 51 ที่ขยายตัวร้อยละ 2.7 ต่อปี และในปี 53 คาดว่าจะขยายตัวเร่งขึ้นที่ร้อยละ 3.3 ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 2.8 – 3.8 ต่อปี) ประมาณการ ณ เดือน ธ.ค. 52 |
. |
ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง |