เนื้อหาวันที่ : 2010-01-18 10:59:48 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1269 views

พพ. ยันปี 53 ปีเสือทองแห่งการลงทุนพลังงานทดแทน

พพ. เผยตลอดปี 52 เอกชนแห่ขอรับการลงทุนด้านพลังงานสูงสุดกว่า 402 โครงการ มูลค่ากว่า 2.2 แสนล้านบาท มั่นใจปี 53 เป็นปีทองพร้อมจับมือเอกชน เดินหน้าผลักดันการลงทุนพลังงานทดแทน

พพ. ยันปี 53 ปีเสือทองแห่งการลงทุนพลังงานทดแทน พร้อมแย้มข้อมูลแผนที่ศักยภาพพลังงานทดแทนทุกด้านทั่วประเทศเป็นครั้งแรก ชี้ตลอดปี 52 มียอดขอรับส่งเสริมการลงทุนสูงสุดกว่า 402 โครงการ มูลค่ากว่า 2.2 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 51 ขาดลอย                    

.
หวังภาคเอกชน ประชาชนตอบรับภาพรวมการส่งเสริมพลังงานทดแทนต่อ มั่นใจผลักดันการลงทุนสาขาพลังงานทดแทน ลม แสงอาทิตย์ เชื้อเพลิงชีวภาพ สร้างความมั่นคงพลังงาน และเสริมเศรษฐกิจไทยเข้มแข็ง
.

นายไกรฤทธิ์ นิลคูหา อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน(พพ.)

.

เมื่อวันที่ 15 ม.ค. 2552  นายไกรฤทธิ์ นิลคูหา อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน(พพ.) พร้อมด้วยผู้บริหาร เปิดแถลงข่าว พพ.กับปีเสือทองแห่งการลงทุนด้านพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน โดยมีผู้แทนจากภาคเอกชน ได้แก่ นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร กรรมการรองเลขาธิการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และ นางดวงพร สุจริตานุวัต รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายบรรษัทธุรกิจ ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน)ร่วมแถลงข่าว 

.

นายไกรฤทธิ์ กล่าวว่า ในปี 2553 นี้ จนถึงปี 2554 เชื่อว่าน่าจะเป็นปีทอง ที่จะเกิดการลงทุนในภาคพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้น โดย พพ. จะได้ร่วมกับภาคเอกชน นักลงทุน รวมทั้งสถาบันการเงินต่างๆ ผลักดันการลงทุนภาคพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในสาขาที่ยังมีศักยภาพอยู่มาก ได้แก่ พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานชีวภาพ                                  

.

รวมทั้งจะได้ผลักดันในสาขาอื่น ๆโดยเฉพาะการใช้แก๊สโซฮอล์ E85 ไบโอดีเซล B5 และการนำเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาแปลงเป็นก๊าซชีวภาพ (Biogas) ทดแทนการใช้ก๊าซหุงต้ม (LPG) และใช้เพื่อเสริมระบบ NGV ในรถยนต์(Biomethane) ซึ่งทั้งหมดนับเป็นนโยบายหลักที่สำคัญของกระทรวงพลังงาน ที่จะส่งเสริมให้ประชาชนทุกภาคส่วนมีส่วนช่วยผลักดัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับภาคการเกษตร 

.

ทั้งนี้ ในปี 2552 ที่ผ่านมา นับเป็นปีที่มีการตอบรับการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน จากภาคประชาชน และจากภาคเอกชนนักลงทุนเป็นอย่างยิ่ง โดยจากภาคประชาชน พบว่า มียอดการใช้พลังงานทดแทน โดยเฉพาะเชื้อเพลิงชีวภาพเพิ่มขึ้นทุกประเภท อาทิ ยอดการใช้เอทานอล มียอดการใช้รวม 1.2 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มขึ้นจากปี 51 ร้อยละ 29       

.

การใช้ไบโอดีเซล มียอดการใช้รวม 1.6 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มขึ้นจากปี 51 ร้อยละ 45 รวมทั้งยอดการใช้ NGV ซึ่งมีการใช้สูงถึง 3,900 ตันต่อวัน หรือเพิ่มขึ้นจากปี 51 ร้อยละ 99 และยอดจำนวนรถที่ใช้ NGV ก็เพิ่มขึ้นเป็น 162,323 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 51 ร้อยละ 27 

.

นอกจากนี้ จากข้อมูลของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI ยอดการขอรับส่งเสริมการลงทุนสุทธิในอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน ตลอดปี 2552 พบว่า มีการเติบโตของการขอส่งเสริมการลงทุนแบบก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับปี 2551 โดยมียอดโครงการทั้งสิ้น 402 โครงการ มูลค่าการลงทุน 229,108 ล้านบาท 

.

ขณะที่ปี 2551 มียอดโครงการเพียง 62 โครงการ มูลค่าการลงทุน 19,930 ล้านบาท และเป็นที่น่าสังเกตว่า เฉพาะภายในเดือนธันวาคม 2552 มียอดขอรับการการส่งเสริมการลงทุนสูงถึง 296 โครงการ มูลค่าการลงทุน 181,669.3 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน (Maximum incentive) จากBOIโดยมีสิทธิประโยชน์ที่ยกเว้นอากรขาเข้า

.

สำหรับเครื่องจักร ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 0% เป็นเวลา 8 ปี และหลังจากนั้นอีก 5 ปี หรือตั้งแต่ปีที่ 9 - 13 จะลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ 50% ซึ่งได้กำหนดให้ยื่นคำขอภายในเดือนธันวาคม 2552 ที่ผ่านมา จึงทำให้มียอดการขอรับการส่งเสริมการลงทุนเพิ่มแบบก้าวกระโดด 

.

โดยขณะนี้ พพ. อยู่ระหว่างที่จะสนับสนุนข้อมูลและขอให้ BOI ขยายระยะเวลามาตรการส่งเสริมการลงทุนดังกล่าวต่อไปอีกอย่างน้อย 1 ปี (จากเดิมมาตรการดังกล่าวจะหมดอายุสิ้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา) ซึ่งหากสามารถต่ออายุมาตรการนี้ต่อไปได้ เชื่อว่าจะเป็นการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน ภายในปี 2553 ต่อเนื่องถึงปี 2554 เนื่องจาก BOI ได้ยกระดับให้อุตสาหกรรมพลังงานทดแทนเป็นกิจการที่มีระดับความสำคัญสูงสุด และจะได้รับการส่งเสริมมากที่สุดเช่นกัน

.

นายไกรฤทธิ์ กล่าวเพิ่มว่า ในวันนี้ พพ. ยังได้นำแผนที่ศักยภาพพลังงานทดแทน ออกมาเปิดเผยแก่ผู้สื่อข่าวเป็นครั้งแรกอีกด้วย โดยข้อมูลในแผนที่ศักยภาพพลังงานทดแทนดังกล่าว จะบอกถึงพื้นที่ภายในประเทศไทยที่มีศักยภาพด้านพลังงานทดแทนสาขาต่าง ๆ อาทิ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานชีวมวล ที่ยังไม่ค่อยได้รับความนิยม

.

เช่น ฟางข้าว เหง้ามันสำปะหลัง ทะลายปาล์มเปล่า ซังข้าวโพด เป็นต้น โดยภายในแผนที่ดังกล่าวจะสามารถระบุได้ว่าพื้นที่ใดบ้างจะมีศักยภาพสูง และเอื้อให้เกิดความคุ้มค่าในการลงทุน เป็นต้น โดย พพ.คาดว่าภายในเดือนพฤษภาคม 2553 นี้ แผนที่ศักยภาพพลังงานทดแทนสาขาต่าง ๆ น่าจะเสร็จสมบูรณ์ และสามารถใช้อ้างอิงในการเป็นฐานข้อมูลเพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนต่อไปได้